น้ำมันกลับสู่ขาขึ้นหลังสถานการณ์ยูเครนมีความเคลื่อนไหว ทองคำร่วงหลังการประชุมเฟด

คำถาม 10 คะแนน “เมื่อตลาดลงทุนทราบผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปแล้ว ในขณะที่ยูเครนกลับมาโดนโจมตีอย่างหนักอีกครั้ง...นักลงทุนตลาดสินค้าโถคภัณฑ์จะลงทุนอย่างไร?” 

คำตอบสั้นๆ ก็คือเทรดขึ้นตามราคาน้ำมันสิครับ รออะไร!!

ในช่วงบ่ายของตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเมื่อวานนี้พบว่าราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้น 3% เพิ่มเติมจากขาขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 4% แรงส่งขาขึ้นเมื่อวานนี้เกิดมาจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครน ที่ประเทศยักษ์ใหญ่เริ่มเปิดฉากรังแกประเทศที่มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าอีกครั้ง นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังปรับตัวขึ้นหลังจากมีรายงานจาก OPEC+ ว่าสมาชิกในกลุ่มกำลังประสบปัญหาไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามโควตา ที่ทางกลุ่มกำหนดไว้ในแต่ละเดือนได้

กลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (OPEC+) กำลังพยายามอย่างหนักที่จะผลิตน้ำมันให้ทันกับความต้องการพลังงาน ที่ฟื้นตัวกลับมา พวกเขาพยายามที่จะดันระดับการผลิตให้สูงกว่าจุดต่ำสุดของการผลิตในช่วงโควิดให้ได้ กลุ่ม OPEC+ เปิดเผยว่าเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ไม่มีคนมาลงทุน (หรือมีแต่น้อยมาก) กับกระบวนการผลิตน้ำมัน นั่นจึงทำให้การผลิตน้ำมันต้องเจอกับอุปสรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วงเวลา 15:15 นาฬิกาตามเวลาสิงคโปร์เมื่อวานนี้พบว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น 3% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $111.12 โดยประมาณ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 3.3% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $106.50 ต่อบาร์เรล ในช่วงระยะเวลาสองสัปดาห์ล่าสุด ทั้งเบรนท์ และ WTI ต่างก็ปรับตัวลดลงมาเกือบ 9% ด้วยกันทั้งคู่

Sunil Kumar Dixit นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจาก skcharting.com วิเคราะห์สถานการณ์ของราคาน้ำมันดิบเอาไว้ว่า

“หาก WTI สัปดาห์นี้สามารถยืนเหนือ $109.33 ต่อบาร์เรลได้สำเร็จ มีความเป็นได้ที่เราอาจจะได้เห็นราคาน้ำมันขึ้นแตะ $111.50 การขึ้นยืนเหนือ $109.33 นั้นสำคัญ เพราะถือเป็นประตูเดินทางขึ้นสู่ระดับราคาถัดไปที่ $111.50 และ $116 ต่อบาร์เรล”

Jeffrey Halley นักวิเคราะห์จากแพลตฟอร์มการลงทุนออนไลน์ OANDA วิเคราะห์ว่า

“ตอนนี้โลกกำลังรอดูความเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ ต่อให้สถานการณ์รัสเซียยูเครนจบลงได้ในวันพรุ่งนี้ แต่โลกทั้งใบกลับยังต้องอยู่ในสภาวะตลาดพลังงานที่มีราคาสูงต่อไป นั้นคือผลกระทบจากการคว่ำบาตรรัสเซีย ราคาน้ำมันดิบในปีนี้อาจจะไม่มีทางลงไปต่ำกว่า $80 ต่อบาร์เรลได้อีกแล้ว ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าหากเห็นการย่อตัวที่สามารถลงไปถึง $90 ต่อบาร์เรลได้ นั่นถือว่าเป็นจุดเข้าที่ดี”

Iryna Vershchuk รองนายกรัฐมนตรีของยูเครนกล่าวเมื่อเช้าวันจันทร์ว่าไม่มีทางที่กองกำลังของประเทศจะยอมจำนนต่อการสู้รบในเมืองท่าเรือมาริอูโปล ซึ่งอยู่ทางตะวันออก และกำลังถูกปิดล้อมอย่างหนัก ด้วยสัญญาณความขัดแย้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลง นักลงทุนในตลาดจึงหันมาตั้งคำถามกันมากขึ้นว่าโลกจะสามารถหาพลังงานน้ำมัน 10% จากที่ไหน มาแทนที่กำลังการผลิตของรัสเซียได้บ้าง

นักวิเคราะห์จาก ANZ มองว่าตอนนี้ตลาดเห็นปัญหาซัพพลายพลังงานขาดแคลนเป็นเรื่องใหญ่ และคนทั้งโลกก็ได้รับผลกระทบจากมันแล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าในเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่ม OPEC+ ไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ 1,000,000 บาร์เรลต่อวันตามเป้า ซึ่งในเงื่อนไขข้อตกลงระบุว่าสมาชิกกลุ่มต้องผลิตน้ำมันให้ได้อย่างน้อย 400,000 บาร์เรลต่อวันขึ้นไปในแต่ละเดือน สองประเทศสมาชิกที่มีความสามารถชดเชยกำลังการผลิตที่หายไปได้ทันทีคือซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์กำลังประเมินสถานการณ์ว่าคุ้มที่จะเข้าช่วยดีหรือไม่

หลังจากที่ราคาทองคำลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลยจนถึงปัจจุบัน เมื่อวานนี้ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนเมษายนบนตลาด COMEX ปรับตัวลดลง 0.2% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,924.65 หากพิจารณาตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าราคาทองคำปรับตัวลดลงมา 2.8% มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน

“หากว่าขาลงทองคำครั้งนี้พาราคาให้ลงไปต่ำกว่า $1,920 มีโอกาสที่เราจะได้เห็นทองคำวิ่งลงไปถึง $1,907 ถ้าลงมาต่ำกว่าจุดนี้ได้ ขาลงจะยิ่งมีความแข็งแกร่งขึ้น และส่งราคาให้ลงไปถึง $1,895 หรือโซนราคา $1,845 - $1,820 ได้อย่างไม่ยากเย็น” - Sunil จาก skcharting กล่าว

“ถึงแม้ตลาดจะยอมรับความเสี่ยงกับผลการประชุมเฟด และผลการเจรจาระหว่างรัสเซียยูเครนที่ล้มเหลวได้ แต่ผลกระทบจากข่าวเหล่านั้นก็วกมากดดันราคาทองคำอยู่ดี” - Jeffrey จาก OANDA กล่าว

นักลงทุนยังคงติดตามสงครามในยูเครน ประเด็นนี้จะยังเป็นสาเหตุของความปั่นป่วนในสัปดาห์นี้ต่อไป เช่นเดียวกับความพยายามทางการทูต ที่จะยังคงเกิดขึ้น แม้รัสเซียจะโจมตีเมืองต่างๆ ของยูเครน ประธานาธิบดี โจเซฟ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะเข้าร่วมการประชุม NATO ในวันพุธ และการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรปกลางสัปดาห์ที่บรัสเซลส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานความร่วมมือครั้งใหม่กับพันธมิตรยุโรป ชาติตะวันตกกำลังเสี่ยงที่จะแตกกับจีนและอินเดีย ซึ่งไม่ได้ประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

เมื่อวันศุกร์ ไบเดนเตือนสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนถึง "ผลที่ตามมา" หากปักกิ่งให้การสนับสนุนด้านอาวุธแก่รัสเซีย แม้ว่าจะแสดงความกังวลเกี่ยวกับสงครามก็ตาม แต่จีนก็ไม่ได้ประณามการกระทำของรัสเซีย เล ยู่เฉิง รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า มาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกต่อรัสเซียนั้น “รุนแรง”

หลังจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ในสัปดาห์ที่แล้วจบลงด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี่้ย 0.25% คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ หนึ่งใน FOMC สายเน้นการตึงตัวทางเศรษฐกิจกล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะต้องสะอึกแน่ๆ หากได้เห็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทีละ 0.50% ของธนาคารกลางภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในขณะเดียวกัน เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดแถลงหลังจากการะประชุมว่าเฟดจะต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ที่เติบโตแรงที่สุดในรอบสี่สิบปี

คริสโตเฟอร์ยอมรับว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนทำให้บางครั้งก็คิดว่าควรจะทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยทีละ 0.25% เพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ดูเหมือนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกมากนัก ขึ้นดอกเบี้ยน้อยไปก็ไม่ทันสกัดกั้นเงินเฟ้อ ขึ้นแรงไปก็เสี่ยงต่อการฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าในการประชุม FOMC ครั้งต่อไป ตลาดจะเถียงกันในประเด็นที่ว่า “สมควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยทีละ 0.50% ดีหรือไม่”

สัปดาห์นี้จะเป้นสัปดาห์ที่เหล่า FOMC เดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ ในอเมริกา เจอโรม พาวเวลล์ จะเข้าร่วมการประชุมออนไลน์ของธนาคารสากล ในขณะที่สมาชิกเฟดคนอื่นๆ ต่างมีคิวให้สัมภาษณ์กันหมดไม่ว่าจะเป็นจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก เมรี่ ดาลีย์ ประธานเฟดสาขาซาน ฟรานซิสโก โรแรตต้า เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ นิล คัชคาริ ประธานเฟดสาขามินาโปลิซ คริสโตเฟอร์ วอลล์เลอร์ และชาร์ลี อีแวน ประธานเฟดสาขาชิคาโก