คำพูดปลอบใจยอดฮิตสำหรับนักลงทุนคริปโตในเวลานี้คงจะหนีไม่พ้นการดึงเอาประวัติศาสตร์อันหอมหวาน ออกมาเป็นเกราะป้องกันความคิดให้กับตัวเอง ท่ามกลางตลาดที่เผชิญกับแรงเทขายมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนคริปโตฯ บางคนก็ยังเอาแต่บอกตัวเองว่า “ผลตอบแทนที่ได้จากวันแรกที่บิทคอยน์และอีเธอเรียมเริ่มเทรดถือว่าสูงมาก”
ถึงจะร่วงลงจากจุดสูงสุดเกือบ $70,000 ลงมาเหลืออยู่ที่ $35,000 ในปัจจุบัน คนที่ศรัทธาในบิทคอยน์ก็จะบอกว่า แต่เมื่อปี 2010 บิทคอยน์เคยมีมูลค่าอยู่ที่ห้าเซนต์เท่านั้นเอง อีเธอเรียมเองก็เช่นกัน การร่วงลงมาจาก $4,900 เหลือ $2,216 ก็ยังเทียบอะไรไม่ได้กับขาขึ้นจาก $11.13 ในปี 2016 หากมองเป็นภาพการเติบโตแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นมาไกลจริงๆ
จังหวะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ความเชื่อถูกทดสอบอีกครั้ง ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดคริปโตฯ ร่วงลงอย่างหนัก แต่ขาลงที่เกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่าเงินแล้วหายไปเกินครึ่งหนึ่งของช่วงขาขึ้นตั้งแต่ $20,000 ขึ้นไปยัง $67,000 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความศรัทธาจะถูกตั้งคำถามอีกครั้ง…
- นี่หรือเสถียรภาพทางการเงินใหม่ที่คนรุ่นใหม่คาดหวัง?
- นี่หรือโลกการเงินในอนาคตที่อยากได้?
- สกุลเงินดิจิทัลที่มีมากกว่า 17,000 สกุลเงินจะเหลือรอดเพียงกี่สกุลเงิน?
นอกจากแรงกดดันทางการเมือง และปัญหาเงินเฟ้อที่กลายเป็นธีมการลงทุนหลักในช่วงนี้ ในความเห็นของผม ปัจจัยทางเทคนิคก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับขาลงที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด แล้วจุดเริ่มต้นของการเทขายทางเทคนิคครั้งเกิดขึ้นจากตรงไหน ในบทความนี้เราจะพาไปดู
จุดเปลี่ยนเทรนด์ที่นำมาสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ของสกุลเงินดิจิทัล
จุดเปลี่ยนเทรนด์ที่นำมาสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ของสกุลเงินดิจิทัลจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งนี้อยู่ในวันที่ 10 พฤศจิกายนปี 2021 ที่นักลงทุนคริปโตฯ กำลังเฉลิมฉลองการสร้างจุดสูงสุดใหม่ของบิทคอยน์และอีเธอเรียม โดยหารู้ไหมว่านั่นกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเทขายครั้งใหญ่
ที่มา: CQG
กราฟในรูปนี้คือกราฟบิทคอยน์ฟิวเจอร์สที่จะส่งมอบในเดือนมกราคม ตัวกราฟได้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $69,820 ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ก่อนที่จะสร้างจุดต่ำสุดใหม่ ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า รูปแบบแท่งเทียนที่รับผิดชอบต่อขาลงครั้งนี้คือรูปแบบดาวตก (Evening Star)
ที่มา: CQG
ประเด็นที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นกับกราฟอีเธอเรียมฟิวเจอร์สด้วยเช่นกัน หลังจากขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาล ก็ปรับตัวลดลงเพราะรูปแบบแท่งเทียนดาวตก แต่ของอีเธอเรียมกลับมาในรูปแบบที่เป็นกลุ่มของแท่งเทียนโดจิ (Doji) ที่ไม่มีความเคลื่อนไหว แต่มีระดับจุดเปิดและจุดปิดต่างกัน
ในระหว่างทางตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนเป็นต้นมา มีความพยายามหลายครั้งที่จะดึงตลาดสกุลเงินดิจิทัลขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หากนับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2022 มาจนถึงปัจจุบัน บิทคอยน์ฟิวเจอร์สได้ปรับตัวลดลงจาก $44,450 ลงมาอยู่ต่ำกว่า $37,000 ในขณะที่อีเธอเรียมฟิวเจอร์สก็ลงมาจาก $3,413.50 ลงมาวิ่งต่ำกว่า $2,600 นักลงทุนจากทั้งสองตลาดต่างเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขาลงครั้งนี้นับเป้นขาลงที่มากที่สุดตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคมของปี 2021
การปรับฐานอาจสร้างผลดีให้กับตลาดในระยะยาว
จริงอยู่ว่าขาลงที่เกิดขึ้นอาจเจ็บปวด แต่ในประวัติศาสตร์การลงทุนโลก ไม่เคยมีสินทรัพย์ตัวไหนที่สามารถวิ่งขึ้นได้เป็นเส้นตรง ในบางครั้งภาพการปรับฐานอาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะลงเร็วหรือช้า ต่างก็เป็นการสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เงินก้อนใหม่ให้มาลงทุนในตลาดมากขึ้น
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว มูลค่าตามราคาตลาดโดยรวมของสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัลยืนอยู่ต่ำกว่าระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ สูญเสียมูลค่าไปราว 1 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่จุดสูงสุดของวันที่ 10 พฤศจิกายน เทียบกับ มูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างแอปเปิล (Apple (NASDAQ:AAPL)) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.65 ล้านล้านเหรียญ ยังไม่ถึงระดับที่ใกล้กับระดับที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินอย่างเป็นระบบ แต่หากการเติบโตแบบมากกว่า 182% ในปี 2021 เกิดขึ้นกับปี 2022 อีกครั้ง นั่นจะทำให้มูลค่าของตลาดคริปโตฯ ขยับขึ้นเกือบเป็น $4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สร้างความเสี่ยงให้กับวงการนี้อีกครั้ง
ตามความเห็นของผม ปัจจัยหลักๆ ที่กดดันราคาคริปโตฯ ในตลาดตอนนี้คือความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ นี่คือความหวังที่เฟดจะชุบชีวิตให้กับมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากที่พิมพ์เงินออกมามากมายโดยอ้างว่าเพื่อต่อสู้โควิด ถึงความเป็นจริงตอนนี้เราจะไม่รู้ว่าก้นเหวของขาลงครั้งนี้อยู่ที่ใด แต่หากเมื่อไหร่ที่เจอ และตลาดได้หลุดพ้นจากความกังวลของขาลงระลอกวันที่ 10 พฤศจิกายนแล้ว ถึงเวลานั้นก็มีโอกาสที่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลจะกลับไปเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง
หากมองให้ลึกลงกว่าการเป็นเพียงตลาดที่สร้างกำไรฉาบฉวย นี่คือสถานที่ต่อสู้ทางความคิดระหว่างกลุ่มเสรีนิยมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม สกุลเงินดิจิทัลเปิดโอกาสให้กับคนที่เชื่อในโลกเสรี เชื่อว่าเงินไม่ควรถูกกำกับโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ก็พิสูจน์มาตลอดหลายทศวรรษแล้วว่านอกจากจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว พวกเขากลับไม่เคยต้องรับผิดชอบอะไรเลย การเก็งกำไรจริงอยู่ว่าช่วยให้ตลาดมีสภาพคล่องที่สูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ดึงเอาคนที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขาเอาเงินของตัวเองมาทำอะไร เปิดโอกาสให้รัฐได้เข้ามาหาวิธีกำจัดคู่แข่งโดยอ้างว่า “ทำไปเพื่อปกป้องประชาชน”
ความเสี่ยงเป็นสัจธรรมที่อยู่คู่กับโลกคริปโตฯ
ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในโลกสกุลเงินดิจิทัล ต้องรู้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ก่อนที่คริปโตจะถือกำเนิด สินค้าโภคภัณฑ์ก็เคยเป็นสินทรัพย์ประเภทที่มีความผันผวนมากที่สุด แต่ในตอนนี้ ไม่มีใครสนใจความผันผวนนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคาในสกุลเงินดิจิทัลที่ดูจะเป็นเรื่องใหม่กว่าและยังไม่มีกฎหมายควบคุมชัดเจน
ความเคลื่อนไหวของราคาคริปโตฯ มีความสัมพันธ์กับความกลัวเรื่องเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ของสหรัฐฯ พร้อมที่จะเปลี่ยนนโยบายการเงินให้มีความตึงตัวมากขึ้น พร้อมกับการจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงินดิจิตอลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ตลาดลงทุนกังวลขึ้นมาเอง เนื่องจากข้อมูลในอดีตไม่สามารถวัดอะไรได้กับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทสินทรัพย์ใหม่ ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่าคริปโตฯ กำลังแข่งขันกับสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อการลงทุนและทุนเก็งกำไร แต่ในขณะเดียวกันคริปโตฯ กลับเสนอทางเลือกทางอุดมการณ์โดยเป็นตัวแทนของวิวัฒนาการของการปฏิวัติวงการฟินเทคฯ
สกุลเงินดิจิทัลในทุกวันนี้จะได้ย้ายจากสินทรัพย์ทางเลือกไปสู่กระแสหลัก สถาบันการเงินหลายแห่งเปิดให้นักลงทุนสามารถลงทุนในคริปโตฯ ได้ เพราะฉะนั้นรูปแบบการขึ้นลงของตลาดในปีที่ผ่านมา อาจจะบอกนักลงทุนให้ซื้อสกุลเงินดิจิทัลในช่วงที่ราคาอ่อนตัว เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ แม้ว่าประสิทธิภาพของราคาในอดีตจะไม่รับประกันผลลัพธ์ในอนาคต แต่รูปแบบในอดีตเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีกในอนาคต
สำหรับผู้ที่พิจารณาที่จะก้าวเข้ามาสู่โลกใบนี้ ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการได้ลิ้มลองรสชาติของตลาดใหม่ๆ แต่อย่าลืมว่าการลงทุนคริปโตฯ นั้นมีความเสี่ยง 100% นักลงทุนต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว เนื่องจากโอกาสในการทำกำไรนั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุนเสมอ การพักตัวของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในช่วงนี้อาจนำไปสู่ความผันผวนครั้งใหม่ในอนาคต คำถามก็คือคุณพร้อมที่จะขึ้นรถไฟขบวนนี้แล้วหรือไม่?