ในทุกๆ ปีใหม่ที่วนมาถึง ตลาดลงทุนจะให้ความสำคัญกับช่วงแรกของเดือนมกราคมเป็นพิเศษ เพราะมักจะมีปรากฎการณ์ในตลาดหุ้นที่เรียกว่า “January Effect” หรือปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น จากการโหมลงทุนของนักลงทุนจากทั่วโลกในช่วงต้นปีด้วยความคาดหวังในเชิงบวกเกิดขึ้น งานวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิด January Effect ออกมาตรงกันว่าเป็นเพราะนักลงทุนกำลังปรับพอร์ตการลงทุนในหลายๆ ด้าน ทั้งจัดเตรียมเอกสารสำหรับยื่นภาษี รวมไปถึงการตั้งกลยุทธ์ใหม่ หาตัวเลือกสำหรับการลงทุนเพิ่ม
สำหรับปี 2022 จะไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นอีกต่อไป เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ และรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อคืนนี้ก็เน้นย้ำในประเด็นนี้ พร้อมทั้งบอกว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดหลังจากที่ช่วงระยะเวลาการลด QE สิ้นสุดลง แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการอาศัยจังหวะ Jauary Effect นี้ในการลงทุน ก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนกลยุทธ์ไปลงทุนกับหุ้นบริษัทขนาดเล็ก หรือกองทุน ETF ที่เน้นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดไม่สูงมากนักได้ แต่จะมีกองทุนอะไรบ้างนั้น ในบทความนี้เราจะพาไปดู
1.The Vanguard Small-Cap Growth ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $279.83
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $255.22 - $306.78
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.36%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.07% ต่อปี
กองทุนตัวแรกที่เราจะมานำเสนอในวันนี้มีชื่อว่า Vanguard Small-Cap Growth Index Fund ETF Shares (NYSE:VBK) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทอเมริกันขนาดเล็ก 728 บริษัท เปิดเริ่มต้นให้ลงทุนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2004
VBK อ้างอิงความเคลื่อนไหวตามดัชนี CRSP US Small Cap Growth index เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเทคโนโลยีและเฮลท์แคร์ที่มีสัดส่วนเท่ากัน 21% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม 17.50% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 16.10% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 8.40%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 7% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $36,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ Pool (NASDAQ:POOL) Entegris (NASDAQ:ENTG) Bio-Techne (NASDAQ:TECH) Coterra Energy (NYSE:CTRA) และ Trex Company (NYSE:TREX)
ในปี 2021 ราคาของ VBK ได้ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5.6% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่เพราะการระบาดระลอกใหม่ของโควิด และสถานการณ์เงินเฟ้อได้ทำให้ VBK ปรับตัวลดลงมามากกว่า 7.5% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 31.4x และ 0.2x ตามลำดับ
หากต้องการลงทุนใน VBK สามารถเข้าซื้อในช่วงกรอบราคานี้ได้เลย เพราะราคาได้ปรับตัวลดลงมามากแล้ว การลงทุนในกองทุนอย่าง VBK จะช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาว และเปิดโอกาสให้ลงทุนในบริษัทที่อาจจะเติบโตขึ้นมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต
2. Invesco S&P SmallCap 600 Pure Growth ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $167.59
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $135.51 - $178.95
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.16%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.35% ต่อปี
กองทุนถัดมาที่อยากจะแนะนำคือ Invesco S&P SmallCap 600® Pure Growth ETF (NYSE:RZG) ถึงแม้ว่ากองทุนนี้จะเน้นลงทุนในบริษัทขนาดเล็กเช่นกัน แต่พวกเขาจะเน้นไปที่บริษัทขนาดเล็ก “ที่มีโอกาสเติบโตได้เร็วกว่าบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน” บริษัทที่กองทุนนี้เลือกมามักจะมีประวัติการเติบโตโดดเด่นภายในช่วงระยะเวลาสามปีติดต่อกัน
RZG เปิดให้เริ่มต้นลงทุนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2006 อ้างอิงความเคลื่อนไหวตามดัชนี S&P Smallcap 600 Growth Index ถือครองหุ้นบริษัทอยู่ทั้งหมด 130 บริษัท เมื่อพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้น จะพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 5 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มการเงิน 24.17% ตามมาด้วยกลุ่มเฮลท์แคร์ 19.47% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 15.17% กลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร 13.90% และกลุ่มอุตสาหกรรม 10.70%
หุ้นสิบอันดับแรกของกองทุนคิดเป็น 15% ของสินทรัพย์ทั้งหมด $142.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นชื่อดังที่กองทุนนี้ถือครองได้แก่ B. Riley Financial (NASDAQ:RILY) Fulgent Genetics (NASDAQ:FLGT); Encore Wire (NASDAQ:WIRE) Hibbett Sports (NASDAQ:HIBB) และ Celsius (NASDAQ:CELH)
ในระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด RZG มอบผลตอบแทนกลับคืนสู่นักลงทุนมาแล้ว 21.3% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ไปในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) และอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ที่ 16.63x และ 3.26x ตามลำดับ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับ RZG ควรรอให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นมาก่อน
ก่อนจะจากกันไป เราขอแถมชื่อของกองทุนให้อีกหนึ่งตัว ซึ่งกองทุนนั้นก็คือ Invesco S&P SmallCap 600® Pure Value ETF (NYSE:RZV) ในระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด กองทุนนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 47.5% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 8 พฤศจิกายน