การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ตอกย้ำให้มนุษยชาติได้รู้ซึ่งถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ตอนที่เกิดการล็อกดาวน์ขึ้น ลองจินตนาการดูว่าหากการระบาดนี้เกิดขึ้นในยุคที่เราไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโน๊ตบุ๊ก ไม่มีสมาร์ทโฟน การทำงานที่ถูกบังคับให้อยู่บ้านนั้นจะต้องยุ่งยากมากแค่ไหน
หากพูดถึงในแง่ของการลงทุนแล้ว การระบาดของโควิดทำให้ธุรกิจในโลกยุคเก่าขาดทุนกันมหาศาล แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ ยังคงต้องชดใช้หนี้อยู่ในตอนนี้ แต่สำหรับบริษทผู้นำด้านเทคโนโลยีแล้ว พวกเขาสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ได้ขยายกิจการเพิ่มจากเดิมก็เพราะอานิสงส์จากโควิดเลยก็ว่าได้
สำหรับนักลงทุนวัยเกษียณ สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึงมากที่สุดไม่ใช่อัตราการเติบโต แต่เป็นความสามารถในการปันผลอย่างมีเสถียรภาพ สม่ำเสมอ และอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่อยากตกขบวนการลงทุนกับหุ้นเทคโนโลยี ในบทความนี้ เราจึงได้นำหุ้นของบริษัทเทคฯ ชื่อดังอย่างซิสโก้ (NASDAQ:CSCO) และไอบีเอ็ม (NYSE:IBM) มาเปรียบเทียบให้เห็นว่าลงทุนกับหุ้นตัวไหนที่น่าจะทำกำไรได้มากกว่า
1. Cisco
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เรารู้จักบริษัทซิสโก้ในฐานะผู้ผลิตเร้าเตอร์และสวิชสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ แต่ความจริงนี้กำลังจะเปลี่ยนไปภายในสี่ปีข้างหน้า ซิสโก้กำลังพยายามเปลี่ยนบริษัทตัวเองให้เป็นผู้ให้บริการด้านเครือข่าย และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้ขายซอฟต์แวร์ด้วย
ในเดือนกันยายน ซิสโก้บอกกับนักวิเคราะห์ว่ากำไรคาดการณ์ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกในระบบจะเพิ่มขึ้นอีก 50% ในรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของปี 2025 ส่วนหนึ่งของกำไรมาจากพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม โดยปรับให้มีความลงตัว และสอดคล้องกับการใข้งานของลูกค้าในปัจจุบันมากขึ้น
ในรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน บริษัทซิสโก้ได้ปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ ให้สอดคล้องกับแนวทางที่นายชัคก์ โรบิ้น CEO ของบริษัทวางเอาไว้เพราะเชื่อว่าแนวทางนี้จะนำไปสู่การเติบโตในอนาคต การยกเครื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ของซิสโก้ได้แก่ การจัดการพัฒนาระบบเครือข่าย การสร้างอินเตอร์เน็ตเพื่ออนาคต (แน่นอนว่าต้องมี 5G) ระบบการทำงานแบบผสม (Webex)
ที่ผ่านมา หุ้นซิสโก้ถือเป็นตัวเลือกสำหรับการปันผลที่ไว้ใจได้ แม้ว่าจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงมาก แต่พวกเขาไม่เคยหยุดจ่ายเงินปันผลเลยมาเป็นเวลา 12 ปีเต็ม ที่สำคัญ ซิสโก้มีการเพิ่มระดับการปันผลเพิ่มในทุกๆ ปี ทำให้ซิสโก้ไม่เคยหลุดโผตัวเลือกหุ้นปันผลที่มีเสถียรภาพมากที่สุดจากนักวิเคราะห์วอลล์ สตรีท
ปัจจุบันหุ้นซิสโก้มีอัตราการปันผลรายปีอยู่ที่ 3% มีตัวเลขการปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $0.37 คิดเป็นอัตราการปันผลอยู่ที่ 55% และยังมีโอกาสที่ซิสโก้จะเพิ่มอัตราการปันผลได้อีกในอนาคต
2. IBM
สถานการณ์ของบริษัทไอบีเอ็มนั้นแตกต่างออกไปจากของซิสโก้ บริษัทนี้อยู่ในวงการเทคโนโลยีมานานถึง 109 ปี และต้องประสบปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้ยาก เพราะโลกในยุคปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป และการที่ไอบีเอ็มเคยเป็นบริษัทขนาดใหญ่มาก่อน จึงทำให้เปลี่ยนแปลงได้ช้าเมื่อเทียบกับบริษัทเทคฯ ยุคใหม่
แต่จุดอ่อนนี้อาจจะกลายเป็นข้อดีสำหรับการลงทุนในหุ้นไอบีเอ็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการลงทุนในระยะยาว โดยปกติแล้ว นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องการลงทุนแบบล็อกอัตราผลตอบแทนเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันการปันผลแบบรายปีของไอบีเอ็มมีอัตราอยู่ที่ 5.56% และมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่มั่นคงมาโดยตลอด
ในการต่อสู้กับบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ในตอนนี้อย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) และไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ไอบีเอ็มได้แยกบริษัทตัวเองออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นธุรกิจเดิมซึ่งเติบโตช้า และส่วนที่เป็นผู้บริการธุรกิจคลาวด์ อาร์วิน คริชนา CEO ของบริษัทได้พยายามปรับโครงสร้างกลยุทธ์ใหม่ให้มีความเกี่ยวข้องกับคลาวด์แทบจะทุกส่วน ลูกค้าผู้ใช้บริการคลาวด์ของไอบีเอ็มสามารถเก็บข้อมูลไว้ในเซิฟเวอร์ส่วนตัว หรือจะเลือกทำระบบคลาวด์แบบเปิดข้อมูลสู่สาธารณชนก็ได้
จากกลยุทธ์นี้ ไอบีเอ็มคาดว่าตอนจบปี 2021 พวกเขาจะมีอัตราการเติบโตของผลกำไรที่ดีขึ้น มีเงินสดหมุนเวียนอยู่ในมือ $35,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2022 ถึงปี 2024 ปัจจุบัน หุ้นไอบีเอ็มสามารถปันผลได้ไตรมาสละ $1.64 ต่อหุ้น คิดเป็นการเติบโตของอัตราปันผลมากกว่า 5% ถือเป็นหุ้นบลูชิปตัวหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด
โดยสรุปแล้ว
ในมุมมองของเรา ทั้งซิสโก้และไอบีเอ็มต่างเป็นหุ้นที่วางใจได้ในเรื่องของการปันผล พวกเขามีสถิติการปันผลมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน เหมาะสำหรับการสร้างกระแสเงินสดในยามเกษียณอายุ ที่สำคัญ พวกเขากำลังพยายามยกระดับธุรกิจของตัวเองให้มีความเชื่อโยงกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้หุ้นของทั้งสองบริษัทน่าสนใจในแง่ของการเติบโตและการสร้างรายได้ที่มั่นคง