นักลงทุนที่หวังจะทำกำไรกับตลาดน้ำมันดิบและทองคำในสัปดาห์นี้อาจต้องเปลี่ยนกลยุทธ์จากปล่อยยาวมาเป็นการเทรดอยู่ในกรอบ เพราะมีความเป็นที่ตลาดทั้งสองจะไม่วิ่งไปไหนมากนัก ฝั่งน้ำมันต้องการรอผลการประชุม OPEC+ ในสัปดาห์หน้า ในขณะที่ทองคำก็รอจับตาดูผู้ที่จะมาเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนต่อไปว่าจะเป็นเจอโรม พาวเวลล์ คนเดิมหรือจะเป็นนางเลล์ เบรนาร์ด ที่สำคัญ สัปดาห์นี้เหลือเวลาการเทรดเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น เนื่องจากวันที่ 25 พฤศจิกายนเป็นวันหยุดขอบคุณพระเจ้า ตลาดลงทุนสหรัฐฯ จะปิดทำการเป็นเวลาหนึ่งวัน
ด้วยสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดในรอบแปดสัปดาห์ ทำให้ตลาดลงทุนคาดหวังว่าอาจจะได้ยินการแสดงความเห็นจากบุคคลสำคัญในกลุ่ม OPEC+ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันท่านอับดุลลาซิส บิล ซัลมาน หรือนายอเล็กซานโดร โนวาค ออกมาพูดให้ราคาน้ำมันได้มีการขยับในสัปดาห์นี้ก่อนที่การประชุมประจำเดือนจะมาถึง
เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่จะส่งมอบในเดือนมกราคมปรับตัวลดลงมา 5 เซนต์ หรือคิดเป็น 0.05% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $75.90 เมื่อเวลา 12:30 AM ตามเวลานิวยอร์ก ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา WTI ปรับตัวลดลง 5.8% ทำให้รวมแล้วสี่สัปดาห์ล่าสุด คิดเป็นขาลง 9.3% อย่างไรก็ตาม ผลงานรวมตลอดทั้งปียังถือว่า WTI ปรับตัวขึ้นมาได้ 57%
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม OPEC ในตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้ราคาน้ำมันกลับมาวิ่งในแนวโน้มขาขึ้นได้ดังเดิม หลังจากที่สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงได้ตัดสินใจแก้เกมด้วยการดึงคลังน้ำมันสำรองออกมาใช้ เมื่อประเทศใหญ่ๆ อย่างเช่นสหรัฐฯ จีน อินเดีย และญี่ปุ่นดึงน้ำมันจากคลังสำรองออกมาใช้ หากลองคำนวณดูแล้วก็มีปริมาณรวมใกล้เคียงกับ 400,000 บาร์เรลต่อวัน
ที่สำคัญตอนนี้มีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงอีก จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในยุโรป ข่าวการระบาดของโควิดในยุโรปและออสเตรียก็กลายเป็นที่ถูกพูดถึงในทันที แทบจะทุกสำนักข่าวเล่นประเด็นเรื่องการกลับมาล็อกดาวน์ในออสเตรีย และการเตรียมบังคับประชาชนทุกคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนต้องฉีดวัคซีน สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่มองว่านี่คือการริดรอนสิทธิเสรีภาพ และตอนนี้หลายๆ ประเทศในยุโรปก็เริ่มมีการประกาศใช้มาตรการคุมเข้มทางสังคมที่เข้มงวดขึ้นอีกครั้ง
ถึงแม้ว่ากลุ่ม OPEC+ จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวไปจนกว่าจะถึงวันประชุม (2 ธันวาคม) แต่ผู้มีอำนาจบางคนในกลุ่มก็ถูกคาดการณ์ว่าจะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับตลาดก่อนการประชุม ยกตัวอย่างเช่นเลขาธิการของกลุ่มโอเปกนายโมฮัมหมัด บาร์คินโด ท่านอับดุลลาซิส บิล ซัลมาน และซูฮา อิลอัลมาซโรไนของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แต่ในสายตาของนักวิเคราะห์ คำพูดเหล่านั้นก็ยังไม่มีน้ำมันมากพอเมื่อเทียบกับระดับอุปสงค์อุปทานที่กำลังจะเปลี่ยนไปยิ่งการล็อกดาวน์ในยุโรปใกล้เข้ามา จอห์น คิลดัฟฟ์ พาร์ทเนอร์ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Again Capital ให้ความเห็นต่อสถานการณ์ในตอนนี้ว่า
“สภาพอากาศที่หนาวเย็น และการระบาดของโควิดใหม่ในยุโรปจะกลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ขาขึ้นในช่วงนี้อาจต้องลดความร้อนแรงลงไปก่อน เพราะหากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่กังวลกัน มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะลงไปถึง $70 - $60 ต่อบาร์เรลได้”
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่ายินดีสนับสนุนแผนการดึงเอาน้ำมันยุทธศาสตร์ออกมาใช้ชองสหรัฐเมริกา ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ผิดต่อสิ่งที่ควรจะทำในยามวิกฤต ในความหมายของญี่ปุ่นคือการดึงเอาน้ำมันสำรองออกมาใช้เพื่อแก้วิกฤตพลังงานขาดแคลนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อเอาออกมาต่อสู้กับปัญหาน้ำมันแพง
ผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร
ตลาดลงทุนคาดการณ์ว่าสิ่งแรกที่กลุ่ม OPEC+ จะทำคือการหยุดแผนการผลิตน้ำมันวันละ 400,000 บาร์เรลต่อวัน หลังจากนั้น ก็อาจจะประกาศลดตัวเลขกำลังการผลิตลง ซึ่งตรงนี้ถือว่าสำคัญ เพราะยิ่ง OPEC+ ลดปริมาณการผลิตลงมากเท่าไหร่ ย่อมหมายความว่าปัญหาโควิดที่พวกเขาประเมินเอาไว้มีความรุนแรงมากกว่านั้น นักวิเคราะห์จาก ING ให้ความเห็นว่าราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวลดลงก่อนการประชุม หลังจากนั้นจะปรับตัวขึ้น
สิ่งที่โลกกำลังจับตาอยู่ในตอนนี้คือก้าวต่อไปของกลุ่ม OPEC+ หลังจากการประชุม ตลาดลงทุนเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะกินเวลานานกว่าครั้งก่อน และน่าจะมีการประกาศแผนรับมือออกมามากมาย เพื่อไม่ให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงไปมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ OPEC+ เท่านั้นที่ออกมาเตือนก่อนหน้านี้ แต่องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ก็เคยออกมาพูดแล้วเช่นกัน และเห็นด้วยกับสิ่งที่ OPEC+ วิเคราะห์ และเสริมด้วยว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้
ตลาดทองคำรอข่าวตัดสินอนาคตพาวเวลล์ และรายงานการประชุมจากเฟด
สำหรับการลงทุนในตลาดทองคำนั้น ตอนนี้นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตาว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะเลือกเจอโรม พาวเวลล์ ให้เป็นประธานเฟดต่อไป หรือจะมีการแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่เป็นนางเลล์ เบรนาร์ด ข่าวนี้อาจจะเป็นตัวตัดสินการวิ่งของราคาทองคำในสัปดาห์นี้
หากเจอโรม พาวเวลล์ได้เป็นประธานเฟดต่อ คาดการณ์กันว่าเขาจะดำเนินตามนโยบายการเงินเดิมที่วางเอาไว้ นั่งคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในช่วงไตรมาสที่สามและสี่ของปีหน้า ในขณะที่เบรนาร์ดถึงแม้ว่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเหมือนกัน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้เร็วกว่า และอาจทำให้สินทรัพย์อื่นๆ (ที่ไม่ใช่ทองคำ) ปรับตัวขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ตลาดลงทุนจะให้ความสำคัญในสัปดาห์นี้คือรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นี่คือการประชุมที่ธนาคารกลางตัดสินใจเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แม้จะทราบผลไปแล้ว แต่ตลาดก็ต้องการเห็นรายละเอียดแบบชัดเจน เพื่อนำมาคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าได้เร็วขึ้น
ในขณะที่กำลังเขียนบทความอยู่ ราคาทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลง 0.1% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $2.60 ปรับตัวลดลงต่ำกว่าแนวรับ $1,850 ได้เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทองคำหลายคนยังเชื่อว่ามีโอกาสที่ทองคำจะทะยานขึ้นสู่ $1,900 ได้ เพราะเงินเฟ้อยังคงเป็นธีมกดดันตลาดลงทุน และส่งเสริมสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับตัวขึ้น
หมายเหตุ: สถานการณ์ล่าสุดตอนนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ประกาศเลือกให้เจอโรม พาวเวลล์ ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อไปอีก 4 ปี ในขณะที่นางเลล์ เบรนาร์ด ได้เป็นรองประธานเฟด หลังจากที่มีการประกาศดังกล่าว ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่า $1,820 ทันที