โกลด์แมนแซคส์ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤตพลังงาน

ตลาดลงทุนในเดือนตุลาคมเปิดฉากด้วยการปรับลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปีนี้และปีหน้าของธนาคารชื่อดังโกลด์แมน แซคส์ พวกเขาให้เหตุผลว่าปัญหาเงินเฟ้อยิ่งทำให้การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว และเป็นผลให้การฟื้นตัวต้องล่าช้าออกไป ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันยังขยับตัวสร้างจุดสูงสุดใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมๆ กับการไม่ทำหน้าที่ผู้คานความเสี่ยงเงินเฟ้อของทองคำ

Jan Hatzius หัวหน้านักวิเคราะห์จากธนาคารโกลด์แมน แซคส์เขียนในโน๊ตถึงลูกค้าของธนาคารเมื่อวานนี้ว่าปีนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตขึ้นเพียง 5.6% ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อน 5.7% ในไตรมาสที่สอง โกลด์แมน แซคส์เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าการเติบโตในปีนี้จะมีตัวเลขอยู่ที่ 6.7% ส่วนในปี 2022 นั้นโกลด์แมน แซคส์ก็ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตลงจาก 4.4% เป็น 4% เท่านั้น

เหตุผลที่แจนและทีมงานของเขาลดตัวเลขคาดการณ์ลงคือภาวะเงินเฟ้อที่กำลังกดดันการเติบโตของกำลังซื้อของผู้บริโภค

“หลังจากที่ได้ประเมินปัจจัยสภาพแวดล้อมทั้งข่าวดีและร้ายไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเปิดเมือง การกระตุ้นเศรษฐกิจ เงินเก็บที่อัดอั้นไว้เพื่อใช้สอย การระบาดของเชื้อไวรัส เงินเฟ้อ และความสามารถของผู้บริโภค ทำให้เราได้คำตอบว่าต้องปรับตัวเลขคาดการณ์ลงเนื่องจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในผู้บริโภคที่ถูกกดดัน เหตุการณ์นี้จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาต้องล่าช้าออกไป นอกจากนี้ ปัญหาซัพพลายเชนขาดแคลนจะคงอยู่ไปจนถึงปีหน้า การส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าก็จะต้องถูกเลื่อนออกไป เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตามมา”

คำเตือนของโกลด์แมน แซคส์เกิดขึ้นหลังจากมหาลัยมิชิแกนประกาศตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายนที่ออกมาลดลง ผู้บริโภคให้เหตุผลว่าพวกเขาไม่กล้าซื้อของเพราะสินค้ามีราคาแพงขึ้น ความคิดเช่นนี้จะนำไปสู่การชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งการบริโภคภายในประเทศคิดเป็น 70% ของสัดส่วน GDP ในสหรัฐอเมริกา

สัปดาห์นี้จะมีตัวเลขเกี่ยวกับเงินเฟ้อและความสามารถของผู้บริโภคในอเมริกาประกาศออกมา หนึ่งคือตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัวเลข CPI จากกระทรวงแรงงานนี้คาดว่าจะออกมาเท่ากับของเดือนสิงหาคมคือ 0.3% ส่วนการเติบโตแบบรายปีคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ 5.3% แทบจะไม่ลดลงจากการรายงานเมื่อเดือนก่อนเลย หลังจากนั้นในวันพฤหัสบดีจะมีการรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนกันยายน คาดว่าตัวเลขค้าปลีกจะลดลง 0.2% หลังจากดีดตัวขึ้นมา 0.7% ในเดือนสิงหาคม ส่วนตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตคาดว่าจะลดลงจาก 0.7% เป็น 0.6%

สถานการณ์ล่าสุดในตลาดน้ำมันโลก

ตลาดน้ำมันในช่วงเช้าของตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเปิดตลาดมาด้วยการปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถขึ้นยืนเหนือ $81 ต่อบาร์เรลได้แล้ว ในขณะที่เบรนท์ทะเลเหนือวิ่งอยู่ใกล้กับระดับราคา $84 ต่อบาร์เรล  ขาขึ้นของตลาดน้ำมันรอบนี้ทำให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของรัสเซียต้องออกโรงเตือนกลุ่ม OPEC+ ว่าอย่าใจเย็นเกินไปจนทำลายความต้องการน้ำมันด้วยมือตัวเอง รมต. กระทรวงพลังงานท่านนี้เห็นว่าราคาน้ำมันควรวิ่งอยู่ระหว่าง $45 - $60 ต่อบาร์เรล

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียก็ได้พยายามหาทางออกวิกฤตพลังงานก๊าซธรรมชาติให้กับยุโรปว่ามอสโควควรเพิ่มกำลังการส่งมอบก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปขึ้นเป็นระดับสูงสุด ส่วนรองนายกรัฐมนตรีนายอเล็กซานเดอร์ โนวาค ให้คำแนะนำกับสหภาพยุโรปว่าถ้าอยากให้รัสเซียช่วย ก็ควรที่จะอนุมัติการใช้ท่อส่งพลังงาน Nord Stream 2 ให้เร็วที่สุด 

จูเลียน ลี นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันจากบลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่าโนวาคตั้งใจจะพูดให้ดูเหมือนว่าเป็นความผิดของฝั่งยุโรปมากกว่าที่จะเป็นของฝั่งรัสเซีย เพราะถ้าเขาตั้งใจจะแก้ไขเรื่องนี้จริงๆ ทำไมรัสเซียซึ่งมีอำนาจเป็นอันดับสองในการตัดสินใจของกลุ่มโอเปกพลัสถึงไม่พูดเรื่องนี้ให้ชัดไปเลยในการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

ท่ามกลางสภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวเร็วขึ้นต่อเนื่อง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็ใกล้ที่จะถึงวันปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งควรจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน รายงานการประชุมของธนาคารกลางรอบเดือนกันยายนที่จะออกสู่สาธารณะชนในวันพุธนี้ นักลงทุนหวังว่าจะได้เห็นข้อมูลคำใบ้ถึงการปรับลด QE ที่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนหน้า เพราะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้นเพียง 194,000 ตำแหน่ง ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลว่าเฟดจะเลื่อนเวลาการลด QE ออกไป

ก่อนหน้านี้เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เคยกล่าวว่าขอเพียงได้เห็นตัวเลขการจ้างงาน “ดีดี” อีกหนึ่งเดือน ก็พร้อมที่จะปรับลด QE ลงในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ทันที

ทองคำยังคงเผชิญกับแรงกดดันเชิงลบอย่างต่อเนื่อง

หากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีใจความโน้มเอียงไปทางการเลื่อนวันลด QE ออกไป เชื่อว่าเราจะได้เห็นตลาดทองคำมีปฏิกริยากับข่าวนี้ เพราะแม้แต่การที่ตัวเลขการจ้างงานครั้งล่าสุดออกมาน่าผิดหวังขนาดนี้ ราคาทองคำก็ยังไม่สามารถตั้งเทรนด์เป็นแนวโน้มขาขึ้นได้ ขาลงในช่วงสามเดือนล่าสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนคิดเป็นตัวเลข 3.4% แล้ว

หากว่าดอลลาร์และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ยังแข็งค่าเช่นนี้ ถึงแม้ว่าราคาทองคำจะวิ่งอยู่ที่ $1,755 โดยประมาณ ก็มีโอกาสวิ่งลงไปถึง $1,700 ได้ภายในสิ้นปีนี้ หรืออาจจะลงไปถึง $1,500 ได้เลยภายในช่วงสิ้นปี 2022 นั่นคือสิ่งที่นักวิเคราะห์จาก ABN Amro คาดการณ์

ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นแต่ 1.6% แล้ว ในขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐสามารถขึ้นยืนเหนือ 94 จุดได้เป็นผลสำเร็จ