ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ในวงการสกุลดิจิทัลโดยเฉพาะบิทคอยน์และอีเธอเรียมได้สร้างนิยามใหม่ให้แก่คำว่าตลาดกระทิง ภาพที่เราได้เห็นบิทคอยน์ทะยานขึ้นจาก $20,000 ขึ้นไปยัง $60,000 ในระหว่างปลายปี 2020 ถึงเดือนเมษายนปี 2021 ได้ปลุกจิตวิญญาณการเป็นนักลงทุนของมนุษยชาติขึ้นมา
ในอดีต สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์เคยเป็นเหมือนลัทธิของคนที่ใฝ่หาเสรีนิยมในโลกการเงิน พวกเขามีแนวคิดที่เชื่อว่าจะสามารถดึงเสรีภาพทางการเงินออกจากมือของรัฐบาลได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มคนที่เข้ามาในโลกนี้ก็ไม่ได้มีแต่คนที่มีเจตจำนงเสรีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนักลงทุน นักเก็งกำไร สถาบัน คนช่างฝัน หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับกับการเงิน กองทุน เฮจฟันด์ หรือแม้ต่ออาชญากรก็ตาม
ถึงแม้ว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยและมองว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง แต่ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมเข้าหากันด้วยอินเตอร์เน็ตแล้ว การพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของสกุลเงินดิจิทัลก็ยิ่งมีให้เห็นมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับประเทศอัฟกานิสถาน ในขณะที่กลุ่มต่อต้านคริปโตฯ กลับเอาแต่นิ่งเงียบ และไม่สามารถทำอะไรได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รู้ไหมว่าสกุลเงินดิจิทัลกลับทำให้คนบางคนที่สามารถหนีออกมาได้ สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ด้วยการมีคอมพิวเตอร์และแฮนดี้ไดรฟ์เพียงอันเดียว
เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม เราได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดสกุลเงินดิจิทัลเมื่อราคาบิทคอยน์สามารถขยับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด $29,800 โดยประมาณ ขึ้นมายังจุดสูงสุด $50,000 ได้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม แม้ว่าตอนนี้แรงส่งขาขึ้นนั้นจะแผ่วไปบ้าง แต่เรายังเห็นความเป็นไปได้ที่บิทคอยน์และอีเธอเรียมจะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกภายในไม่นาน จนอาจจะก่อให้เกิดจุดสูงสุดของขาขึ้นในปี 2021
ขาลงในเดือนเมษายน-พฤษภาคม
ก่อนหน้านี้บิทคอยน์เคยปรับตัวขึ้นมาทำจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $65,520 เมื่อวันที่ 14 เมษายน ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างมหาศาล ซึ่งวันเวลาที่ขาขึ้นรอบนี้ถล่มลงมานั้นก็เป็นวันเดียวกันกับที่แพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล “คอยน์เบส” (NASDAQ:COIN) เปิดตัวเป็นวันแรกพอดี
ที่มา: CQG
กราฟรายสัปดาห์รูปนี้แสดงให้เห็นจุดต่ำสุดที่บิทคอยน์ลงมาจาก $65,620 จากภาพเราจะเห็นว่าบิทคอยน์ได้ลงมาทำจุดต่ำสุดที่ $28,000 ในระหว่างสัปดาห์ของวันที่ 21 มิถุนายน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง สกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมก็ได้ปรับตัวลดลงตามมาด้วย สร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน
ในรูปนี้คือกราฟรายสัปดาห์ของอีเธอเรียมฟิวเจอร์สที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $4,406.50 และลงมาสร้างจุดต่ำสุดที่ $1,697.75 หลังจากนั้นทั้งสองสกุลเงินก็เข้าสู่ช่วงแห่งการสะสมพลังงานและการฟื้นตัว นับจากเดือนพฤษภาคมมาจนถึงต้นเดือนสิงหาคม คือช่วงเวลาที่บิทคอยน์พักเอาแรง และพยายามที่จะวิ่งไปในทิศทางทั้งขาขึ้นและลง หลายครั้งที่ตลาดลงทุนต้องลุ้นว่าบิทคอยน์จะปรับตัวลดลงต่ำกว่า $30,000 หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นบิทคอยน์ไม่เคยกลับขึ้นมายืนเหนือ $40,000 ได้เลย
ปรับฐานและฟื้นตัว
กราฟรายวันรูปนี้แสดงให้เห็นช่วงการปรับฐานของบิทคอยน์มาจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม
เช่นเดียวกันกับบิทคอยน์ กราฟรูปนี้คือช่วงพักตัวของอีเธอเรียมที่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า ซึ่งราคาได้ลงมาทำจุดต่ำสุดต่ำกว่า $2,440 จนกระทั่งถึงปลายเดือนกรกฎาคม
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คริปโตฯ ทั้งสองฟื้นตัว จนสามารถวิ่งกลับขึ้นมาถึงจุดกึ่งกลางของสกุลเงินทั้งสองได้ ทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เดือนเมษายนและพฤษภาคมอยู่ที่ 47,160 ดอลลาร์และ 3,052.125 ดอลลาร์ เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว บิทคอยน์มีซื้อขายอยู่ที่ระดับ 48,000 ดอลลาร์ และอีเธอเรียมมีราคาซื้อขายอยู่ที่ 3,220 ดอลลาร์ คิดเป็นการฟื้นตัวกลับขึ้นมา 50% จากจุดสูงสุดที่เคยร่วงลงมาก่อนหน้านี้ และในวันที่ 23 สิงหาคม บิทคอยน์ก็ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ $50,000 ในขณะที่อีเธอเรียมทำได้ $3,000
สามปัจจัยที่จะสนับสนุนตลาดสกุลเงินดิจิทัลให้ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายน
ขาขึ้นของตลาดสกุลเงินดิจิทัลรอบนี้ทำให้มูลค่าตลาดรวมตอนนี้กลับมามีตัวเลข $2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐได้อีกครั้ง ที่สำคัญเรามองว่าสามปัจจัยดังต่อไปนี้จะช่วยสนับสนุนให้บิทคอยน์ อีเธอเรียม และสกุลเงินดิจิทัลอีก 11,460 เหรียญปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต
1.) แรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อ: ในตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังประสบภาวะเงินเฟ้อจากการปล่อยนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอันมหาศาลของรัฐบาลโจ ไบเดน ต่อให้ตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับลดวงเงิน QE แต่รัฐบาลกลางก็ยังคิดที่จะลงทุนด้วยเงินมหาศาลกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประกาศ ซึ่งจะยิ่งทำให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้น และทำให้มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลปรับตัวขึ้นทางอ้อม
2.) การเสื่อมถอยของมูลค่าในสกุลเงินปกติ: ถือเป็นผลสืบเนื่องต่อมาจากข้อที่ 1 ยิ่งรัฐบาลพิมพ์เงินออกมามากเท่าไหร่ ความต้องการที่มีน้อยกว่าอุปทานก็จะทำให้สกุลเงินนั้นๆ ด้อยมูลค่าลง ที่สำคัญก็คือตอนนี้ผู้คนเริ่มหมดศรัทธาในระบบศูนย์กลางมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กพึ่งประกาศลาออกจากเรื่องอื้อฉาว ในขณะที่รัฐแคร์ลิฟอร์เนียกำลังจะจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าการใหม่ในช่วงกลางเดือนกันยายน และการบริหารของโจ ไบเดนในตอนนี้ก็กำลังมีผู้สนับสนุนน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ในอัฟกานิสถาน สกุลเงินดิจิทัลสอนให้มนุษย์ได้รู้ว่าพวกเขาสามารถใช้ชีวิตตามปกติ จับจ่ายใช้สอยได้ โดยไม่ต้องพึ่งระบบตัวกลางเหล่านี้ หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร ที่ยึดโยงกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
3.) เหตุการณ์ในอัฟกานิสถาน: การที่โจ ไบเดนตัดสินใจนำกำลังพลชาวอเมริกันออกจากพื้นที่ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก อเมริกาต้องใช้เงินไปเท่าไหร่กับสงคราม 20 ปี ประธานาธิบดี 4 คน และทหารที่ต้องไปอยู่ที่อัฟกานิสถานและต้องเสียชีวิตในหน้าที่ ชาวอัฟกานิสถานหลายคนต้องหนีตายโดยมีแค่ตัวกับเสื้อผ้าเท่านั้น แต่นักลงทุนที่โชคดี ได้ลงทุนกับสกุลเงินดิจิทัลเอาไว้ก็สามารถออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เลยเพียงแค่มีคอมพิวเตอร์และเฮนดี้ไดรฟ์อันเดียว
การปรับตัวสูงขึ้นของตลาดสกุลเงินดิจิทัลในช่วงปลายปี 2021
จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งสามข้อ ทำให้ผมเชื่อว่าสกุลเงินดิจิทัลจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกก่อนสิ้นปี 2021 อย่างไรก็ตามก็ยังมีความเสี่ยงอีกมากมายที่พร้อมจะทำให้ตลาดแห่งนี้ผันผวนได้ทุกเมื่อ ในงานประชุมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบริษัทเทคโนโลยีและสถาบันทางการเงินที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เหล่าบรรดา CEO ของบริษัทต่างๆ ได้ขอให้ประธานาธิบดีจัดการกับการใข้สกุลเงินดิจิทัลในทางที่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง
ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับบททดสอบมากมาย แต่ยิ่งวันเวลาผ่านไป ผู้คนได้เห็นแล้วว่าการบริหารภายใต้กลุ่มคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็อาจจะนำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเงินให้กับพวกเขาได้ นี่เป็นเหตุผลที่ภาครัฐไม่สามารถเถียงได้เลย ดังนั้นนักลงทุนในปัจจุบันและในอนาคต เชื่อได้เลยว่าต้องมีสกุลเงินดิจิทัลเอาครอบครอง อย่างน้อยก็เพื่อความความเสี่ยง และด้วยเหตุผลนี้ กับจำนวนเหรียญของสกุลเงินดิจิทัลที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดแห่งนี้มีแต่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปในอนาคต