หากถามว่าในเดือนสิงหาคมนี้ ประเด็นไหนคือเรื่องดังที่สุด? เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยทุกคนจะตอบเหมือนกันว่าเหตุการณ์การยึงกรุงคาบูลของกลุ่มตาลีบันคือเหตุการณ์ช็อคโลกมากที่สุด ถือเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้วที่สหรัฐฯ และนาโต้ (NATO) ได้พยายามเข้าไปสร้างสันติสุขให้กับดินแดนนี้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องถอนทหารออก พร้อมกับความเชื่อว่าทหารที่ถูกฝึกมาแล้วจะสามารถรบกับกลุ่มตาลีบันได้ต่อ แต่ในความเป็นจริงพวกเขากลับปล่อยให้เมืองหลวงถูกยึดไปอย่างง่ายดาย
ท่ามกลางกระแสที่ผู้คนอยากหนีออกจากประเทศของตน พวกเขาพยายามขว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถติดตัวออกไปได้ตามมาด้วย เพราะตอนนี้มีรายงานแล้วว่ากลุ่มตาลีบันกำลังพยายามเข้ามาควบคุมระบบการเงินภายในประเทศ ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกและทำลายเสถียรภาพทางการเงินของประเทศเป็นอย่างมาก ในสมัยที่สหรัฐฯ ทิ้งเมืองไซง่อนของเวียดนามไปในปี 1973 ตอนนั้นราคาทองคำในประเทศเวียดนามเคยดีดขึ้นแตะ $50,000 ต่อออนซ์ ด้วยสาเหตุที่ว่าผู้คนต้องการหนีออกนอกประเทศและเปลี่ยนเงินสดให้กลายเป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัย
เหตุการณ์ในปี 1973 วันนั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับเหตุการณ์ในปี 2021 ตอนนี้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผู้คนไม่ได้นำเงินไปแลกเป็นทองคำเพื่อเตรียมหนี แต่พวกเขากลับเลือกเปลี่ยนสกุลเงินอัปกานีให้กลายเป็นบิทคอยน์ อีเธอเรียมและสกุลเงินอื่นๆ แทน นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไปของโลกการเงินและเป็นการตอกย้ำความจำเป็นของการมีอยู่ของสกุลเงินดิจิทัล
การยึดครองเมืองคาบูลและความสำคัญของการมีสกุลเงินทางเลือก
หลังจากที่การยึดครองเมืองคาบูลของกลุ่มตาลีบันเกิดขึ้น ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าตอนนี้ยังมีชาวอเมริกันและชาวอัฟกานิสถานที่เคยช่วยอเมริการบกันตาลีบันประมาณ 1,000 คนยังติดอยู่ในกรุงคาบูล สำหรับพวกเขา การที่จะออกมาจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้หรือไม่คือเรื่องเป็นตายที่ถึงแก่ชีวิต
ในขณะเดียวกัน ระบบการเงินโลกก็เริ่มหันหลังให้กับอัปกานิสถานมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนที่โชคดีสามารถออกมาจากประเทศนั้นได้ไม่มีอะไรนอกจากตัวและกระเป๋าเสื้อผ้า เมื่อธนาคารไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับพวกเขาได้ สกุลเงินดิจิทัลจึงเป็นแหล่งเงินเพียงแห่งเดียวที่สามารถรับประกันความมั่งคั่งของพวกเขา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถานคือตัวอย่างที่ดีที่สุดว่าทำไมการเก็บเงินเอาไว้กับภาครัฐเพียงอย่างเดียวจึงถือว่าเป็นความเสี่ยง ตัวอย่างในไซง่อนก็เช่นกัน และหากจะให้ชัดกว่านั้น ก็ให้ย้อนไปดูในสมัยสงครามโลกในปี 1930 หลายคนที่จำเป็นต้องหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอนเพราะการเข้ามาของเยอรมันทำให้บางคนไม่มีแม้กระทั่งเงินติดตัวสักแดง ในขณะที่บุคคลร่ำรวยไม่มีใครถือครองเงินสดเลย มีเพียงแต่เพชรพลอย ทองคำ เท่านั้น เพราะพวกเขารู้ดีว่าในยามวิกฤต มีแต่สินทรัพย์สำรองปลอดภัยเท่านั้นที่ช่วยพวกเขาได้ แต่ในตอนนี้การพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้โลกเรามีสินทรัพย์สำรองปลอดภัยที่มีมูลค่าและมีขนาดเล็กกว่าเพชรแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่
นี่คือช่วงเวลาที่คริปโตเคอเรนซี่ได้ฉายแสงมากที่สุดยิ่งกว่าขาขึ้นครั้งไหนๆ เลยก็ว่าได้ เพราะการยึดกรุงคาบูลโดยกลุ่มก่อการร้ายทำให้ทุกคนได้ตระหนักแล้วว่า ในบางครั้งอาจจะมีสักวันที่เราอาจจะไม่สามารถเชื่อใจรัฐบาลของตัวเองได้ นี่คือการหักหลังประชาชนที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก และมีเพียงคนที่มีความรู้ด้านการเงินเท่านั้นที่สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตนี้ไปได้
ด้วยฟังก์ชันที่คริปโตเคอเรนซี่มีไม่ว่าจะเป็นการเป็นสกุลเงินที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ไหนก็ได้ การไม่มีเซอร์เวอร์ตายตัว ทำให้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของโลกนี้ก็ตาม ขอแค่มีฮาร์ดไดรฟ์หรือที่เก็บข้อมูลของเงินดิจิทัล คุณสามารถดึงเงินส่วนนั้นออกมาใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นจากแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน หรือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินเป็นดอลลาร์ ยูโร ปอนด์ หรือว่าเยนได้ สกุลเงินดิจิทัลถือทางออกที่สะดวกสบายที่สุดแล้วในขณะนี้
เพียงมีคอมพิวเตอร์ คุณจะใช้ชีวิตอยู่ที่ใดในโลกก็ได้
ไม่ว่าคุณจะมีสกุลเงินดิจิทัลอยู่ในมือมากหรือน้อย คุณก็สามารถยัดมันลงในแฟลชไดรฟ์ขนาดเล็กได้ ในขณะที่ผู้คนกำลังหลบหนี ด้วยรหัสผ่านที่ปลอดภัย เจ้าของสกุลเงินดิจิทัลสามารถเข้าถึงความมั่งคั่งบนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ทั่วโลก
สกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่คือสิ่งที่แฟร์ที่สุดในแง่ของการเป็นสกุลเงินสำหรับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพที่ขาวที่สุดหรือดำที่สุดคุณก็สามารถใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนได้ คนที่หนีกลุ่มตาลีบันไปตั้งต้นชีวิตใหม่ก็สามารถถอนสกุลเงินดิจิทัลออกมาเป็นเงินสด แล้วเริ่มชีวิตใหม่ได้ทันที ในขณะที่กลุ่มตาลีบันที่เริ่มถูกแบนเงินในประเทศต่างๆ ก็สามารถหันไปใช้สกุลเงินดิจิทัลเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
ใครจะรู้ว่าฉากหน้าที่ผู้นำตาลีบันคนใหม่ถูกแบนบัญชีการเงินจากสหรัฐฯ และรัฐบาลอื่นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาอาจจะสามารถนำเงินในบัญชีที่มีไปแลกเป็นสกุลเงินดิจิทัล และนำออกมาใช้ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้
คริปโตเคอเรนซี่อยู่เหนือการเมืองและดราม่าใดๆ ของมนุษย์
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือตัวอย่างการใช้งานและพิสูจน์ว่าสกุลเงินดิจิทัลคือระบบการเงินที่เสรีและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐบาลมากที่สุด คริปโตฯ นั้นเกิดมาเพื่อมนุษย์ทุกคนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ เพียงมีความรู้ด้านการเงิน คุณจะเห็นว่าใครคือผู้ร้ายที่อยู่ด้านหลังฉากตัวจริง และสามารถลดความเสี่ยงจากการถูกยึดโนงกับภาครัฐได้
ในเดือนมกราคมปี 2018 บทความจากนักวิเคราะห์ในตลาดแนสแด็กเคยเขียนถึงเหตุผล 10 ประการว่าทำไมสกุลเงินดิจิทัลจะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
1.) ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง
2.) ผลักดันให้มีการระดมทุนกันได้ง่ายมากขึ้น
3.) เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกรรม
4.) ทำให้วงการ e-commerce แข็งแรงขึ้น
5.) ผลักดันให้มีการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
6.) ฝึกให้ผู้คน บริษัท และองค์กรมีความรับผิดชอบทางการเงินมากขึ้น
7.) ทำธุรกรรมต่างประเทศได้ปลอดภัยกว่า
8.) เป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพมากกว่าบางสกุลเงินท้องถิ่น
9.) แต่ละบุคคลมีสิทธิ์ในการควบคุมการเงินของตัวเองมากขึ้น
10.) ความสามารถในการย่อขนาดจนการพกพากลายเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้น โดยสรุปแล้วความล้มเหลวของรัฐบาลในการปกครองไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตาลีบันได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่าแม้แต่มหาอำนาจที่ใหญ่ที่้สุดของโลก ก็ไม่ได้สนใจเรื่องของชาติอื่นไปมากกว่าเรื่องของตัวพวกเขาเอง ในขณะที่เราอยู่ในโลกที่ทุกอย่างไร้พรมแดนแล้ว การมีเงินที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงจึงถือเป็นวิธีการลดความเสี่ยงที่ดีที่สุด และนี่คือสาเหตุว่าทำไมมนุษย์ในยุคหลังปี 2020 ควรจะมีความรู้ความเข้าใจสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น