รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ขาลงคริปโตฯ หมดเวลาแล้วหรือกำลังส่งสัญญาณเทรนด์ใหม่ในอนาคต?

เผยแพร่ 20/07/2564 14:02
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มาจากวงการหรือตลาดไหน สิ่งที่เรามักจะได้ยินเหมือนกันซ้ำๆ จากบรรดาโค้ช นักลงทุนในตำนาน หรือผู้มีเจ้าของรถหรู มักจะชอบพูดว่า “ถ้าต้องการเป็นักลงทุนที่ดี ให้ซื้อในราคาที่ต่ำที่สุด และขายในราคาที่สูงที่สุด” คำพูดนั้นเปรียบเสมือนวาจาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่จมอยู่กับการหาจุดเข้าที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา โดยที่พวกเขาไม่เคยสนใจเลยว่าตลาดจะวิ่งไปไหนทิศทางไหน ซึ่งจุดนี้ถือเป็นกฎข้อแรกของการลงทุนที่เริ่มต้นมาก็ผิดแล้ว

เพราะตลาดมีสิ่งที่เรียกว่า “แนวโน้ม” คอยเป็นผู้บงการตลาดอยู่ว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ราคาในตลาดสมควรที่จะวิ่งไปในทิศทางไหน และทุกๆ ครั้งที่ราคาวิ่งตามเทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งมาจนสุดทางแล้ว สิ่งที่กราฟมักจะทำคือการพักเหนื่อย เหมือนกับคนที่วิ่งมานานแล้วต้องการหยุดพัก จุดนี้เองถือเป็นจุดที่สองที่เหล่าบรรดาโค้ชจะเข้ามาบอกว่า “การย่อตัวของราคาคือจุดเข้าที่ดีที่สุด”

คำพูดนี้มีความจริงอยู่หนึ่งส่วนและไม่จริงอยู่หนึ่งส่วน เพราะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่แล้ว การที่พวกเขาจะสามารถระบุได้ว่าราคา “ย่อ” ลงมาเท่าไหร่ เป็นเรื่องยากมาก บางคนเชื่อทฤษฎีแท่งเทียน บางคนเชื่อทฤษฏีเทรนด์ไลน์ บางคนเชื่ออินดิเคเตอร์ ต่างคนต่างความเชื่อ มารวมอยู่ที่จุดเข้าเดียวกัน จึงมีคำพูดที่ว่าแนวรับ/ต้านจิตวิทยาจึงได้ถือกำเนิดขึ้น 

แต่เชื่อหรือไม่ว่าสิ่งที่ผมพูดมานี้ยังไม่น่ากลัวเท่ากับการต่อสู้กับอารมณ์ที่มีต่อตลาด การได้กำไรติดต่อกันอาจทำให้คุณเป็นคนหลงตัวเอง ลงทุนมากกว่าที่ควรจะเป็นและนำไปสู่การขาดทุน และเช่นกันการขาดทุนติดต่อกันหลายๆ ครั้งอาจนำมาสู่การขอเดิมพันครั้งเดียวเพื่อเอาส่วนที่เสียไปคืนมา ซึ่งตลอดชีวิตของผม ผมไม่เคยเห็นนักลงทุนทั้งสองประเภทนี้ประสบความสำเร็จในวงการนี้เลย

สิ่งที่จะช่วยให้คุณมีผลงานการลงทุนที่ดีขึ้นได้มีเพียงอย่างเดียวคือประสบการณ์ คุณต้องผ่านการขาดทุนนับครั้งไม่ถ้วนจนกว่าคุณจะเรียนรู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจุดตัดขาดทุนอัตโนมัติ (stop-loss) อยู่ คุณต้องขาดทุนอีกครั้งจนกว่าจะได้รู้ว่าควรมีวินัยต่อแผนการเทรดของตัวเองมากแค่ไหน และที่สำคัญที่สุดคือการฝึกควบคุมอารมณ์ ในยามได้อย่าเหลิง ในยามเสียอย่างท้อ นี่คือชีวิตของนักลงทุนที่ต้องเผชิญ

แต่ในบรรดาตลาดที่ผมเคยลงทุนมาทั้งหมด ไม่มีตลาดไหนเลยที่ผมเคยเห็นการขึ้นอย่างรุนแรงเหมือนบิทคอยน์ ไม่มีสินทรัพย์ตัวไหนที่ใช้เวลาขึ้นจาก 10 เซนต์ในปี 2010 กลายเป็น $65,500 ในปี 2021 ผมไม่เคยเห็นสกุลเงินไหนที่สามารถทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาต่อยอดบนเงินของตัวเองจนสามารถมีราคาสูงถึง $4,400 ได้เหมือนอีเธอเรียม และไม่เคยเห็นโลกไหนที่จะมีสกุลเงินได้มากถึง 11,000 เหรียญ

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตลาดสกุลเงินดิจิทัลเคยขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดในแง่ของมูลค่าตลาดเอาไว้ที่ $2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าของตลาดแห่งนี้ก็ได้ปรับตัวลดลงมาอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าตอนนี้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลกำลังจะเข้าสู่โหมดจำศีลแล้ว อย่างที่เราได้เห็นบิทคอยน์พักตัวที่จุดต่ำสุดบริเวณ $30,000 มาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมมาจนถึงปัจจุบัน

สถานการณ์ปัจจุบันของตลาดคริปโตฯ 

ขาลงของบิทคอยน์จาก $65,500 ในช่วงกลางเดือนเมษายนลงมาจนถึง $30,000 ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถือเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายครั้งหนึ่งสำหรับนักลงทุนมือใหม่ และได้ทำให้ใครหลายๆ คนหมดตัวได้ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ อย่างไรก็ตามหลังจากบิทคอยน์ทำจุดต่ำสุดที่ $28,840 ราคาก็ได้ดีดตัวกลับขึ้นมา พยายามประคองตัวเองให้อยู่เหนือ $30,000 ให้ได้ และปรับฐานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน Bitcoin Daily

ที่มา: CQG

กราฟในรูปคือบิทคอยน์รายวัน ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุุนายนจนถึงปัจจุบัน กราฟบิทคอยน์ก็มีกรอบราคาอยู่ระหว่าง $36,650 - $28,840 และหลังจากที่บิทคอยน์วิ่งลงมาต่ำกว่า $32,000 ผู้คนก็ให้ความสนใจกับบิทคอยน์มากขึ้นว่าจะลงไปต่ำกว่า $30,000 ได้หรือไม่ในรอบนี้

Ethereum Daily

ในช่วงเวลาเดียวกัน กราฟอีเธอเรียมล่วงหน้ามีกรอบการวิ่งของราคาอยู่ระหว่าง $2,420.75 - $1,710.75 การที่ราคาอีเธอเรียมสามารถลงมามีราคาซื้อขายที่ $1,940 ถือเป็นสัญญาณบอกว่าราคาได้ลงมาต่ำกว่าเส้นกึ่งกลางของวันที่ 16 กรกฎาคมแล้ว สิ่งเดียวที่บิทคอยน์และอีเธอเรียมมีเหมือนกันในตอนนี้คือการหลับอย่างสงบอยู่ที่จุดต่ำสุดล่าสุดของตัวเอง

ในสายตาของใครบางคนที่ตั้งใจเข้ามาเก็บเกี่ยวกำไรจากวงการสกุลเงินดิจิทัลอาจจะมองว่านี่คือจุดจบของวงการแล้ว ในขณะที่ใครหลายๆ คนกำลังมองว่านี่คือโอกาสเก็บสกุลเงินดิจิทัลที่ตัวเองชอบในราคาถูก และหวังว่าจะได้ขึ้นรถไฟขบวนถัดไปได้ทันอีกเมื่อบิทคอยน์ฟื้นกลับมา แต่เพราะก่อนหน้านี้บิทคอยน์ได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว จาก $20,000 - $60,000 โดยประมาณ ดังนั้นการพักตัวก็ต้องการเวลาอีกสักระยะ

หลายคนพยายามเปรียบเทียบสกุลเงินดิจิทัลในตอนนี้กับ “ทิวลิปมาเนีย” ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 1600 ว่าเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกัน แต่ในความจริงนั้นสองเหตุการณ์นี้มีความแตกต่างกันอยู่มาก การแห่ซื้อดอกทิวลิปในช่วงนั้นเป็นการทำเพื่อเอากำไร ในขณะที่สกุลเงินดิจิทัลมีจุดเริ่มต้นมาจากความต้องการปลดแอกการเงินออกจากธนาคารกลาง 

แม้ว่าฝั่งภาครัฐพยายามที่จะโจมตีสกุลเงินดิจิทัลมาโดยตลอด ทั้งข้อหาเป็นสกุลเงินเถื่อนบ้าง ผิดกฎหมายบ้าง มีความผันผวน หนีภาษี หรือเป็นเงินที่สามารถนำมาใช้ในลู่ทางที่ไม่ดี แต่สำหรับคนที่เป็นสาวกสกุลเงินดิจิทัลหรือได้ใช้งานสกุลเงินเหล่านี้อย่างจริงจัง พวกเขากลับพบโลกใหม่ พบวิธีใหม่ในการชำระเงินโดยไม่ต้องสนใจตัวกลางอย่างธนาคารอีกต่อไป ที่สำคัญการศึกษาสกุลเงินดิจิทัลทำให้พวกเขาได้รู้จักวิธีการปกป้องความมั่งคั่งของตัวเอง นอกจากสกุลเงินดิจิทัลจะเป็นการปฏิวัติโลกการเงิน ยังเป็นการปฏิวัติความรู้ของผู้คนที่มีเกี่ยวกับเงินอีกด้วย

การปรับฐานใกล้กับจุดต่ำสุดก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป

จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคหากอ้างอิงเฉพาะบิทคอยน์และอีเธอเรียม จะเห็นว่าทั้งสองสกุลเงินปรับฐานอยู่ในกรอบไซด์เวย์ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดต่ำสุด ตั้งแต่ลงมาที่จุดต่ำสุดนี้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ทั้งสองสกุลเงินก็ไม่เคยวิ่งกลับขึ้นไปได้อย่างมีนัยสำคัญอีกเลย ถึงกระนั้นเราก็ยังได้ยินเสียงกองเชียร์และกองแช่งออกมาจากทั้งสองฝั่ง กองเชียร์ก็เชื่อว่าบิทคอยน์จะต้องขึ้นถึง $100,000 แน่นอน ในขณะที่กองแช่งเชื่อว่าบิทคอยน์จะลงไปเหลือ $0

เวลาจะเป็นตัวบอกเองว่าสุดท้ายแล้วสกุลเงินดิจิทัลจะเลือกทางไหน หากหลุด $29,000 ลงไปได้ เราอาจจะได้เห็นบิทคอยน์ไหลลงเป็นน้ำอีกครั้ง หรือถ้ามีเหตุอะไรที่มาทำให้บิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะ $40,000 ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาในตอนนี้ ก็เป็นไปได้ที่ฝั่งขาขึ้นจะเชื่อว่าถึงเวลากลับไปดันบิทคอยน์กันอีกครั้งหนึ่งแล้ว 

อย่างไรก็ดี การที่ยังมีคนจากทั้งสองฝ่ายมาถกเถียงกันอยู่ว่าสุดท้ายโลกสกุลเงินดิจิทัลจะลงเอยแบบใด ก็ยังหมายความว่ามีคนยังเห็นค่าและเชื่อในสิ่งที่สกุลเงินดิจิทัลทำอยู่ แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม นี่ขนาดว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลในตอนนี้มีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ $1.306 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าใกล้กับมูลค่าของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ $2.478 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

หรือวงการคริปโตฯ กำลังรอให้เกิดปรากฎการณ์บางอย่างเพื่อพาราคาขึ้นไป

เมื่อพูดถึงแอปเปิลแล้วอันที่จริงก็มีข่าวลือออกมาบ้างว่าแอปเปิลอาจรับบิทคอยน์เป็นหนึ่งช่องทางในการชำระเงิน แต่ข่าวนี้จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นได้เพียงข่าวลือเท่านั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ก่อนหน้านี้ที่บิทคอยน์หรืออีเธอเรียมทะยานขึ้นมาได้อย่างมีนัยสำคัญ มักจะมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่จะส่งผลต่อมูลค่าของทั้งสองสกุลเงินเกิดขึ้นก่อนเสมอ

ยกตัวอย่างเช่นย้อนกลับไปในปี 2017 ตอนที่บิทคอยน์ขึ้นมาถึง $20,000 ใหม่ๆ ตอนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือการมีบิทคอยน์ล่วงหน้าบนตลาด CME ซึ่งการที่บิทคอยน์สามารถเข้าสู่ตลาดฟิวเจอร์สได้หมายถึงการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลว่าเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งแล้ว ส่วนอีเธอเรียมก็พึ่งได้รับการยอมรับจาก CME เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021

การทะยานขึ้นของบิทคอยน์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในปีที่แล้วและช่วงต้นปี 2021 เมื่อเหรียญบิทคอยน์ถึงรอบที่ต้องแบ่งตัวเองออกให้มีจำนวนเล็กลงแลกกันกับความต้องการที่มีมากขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นบิทคอยน์ก็เป็นกระแสกับบริษัทดังๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสแควร์ (NYSE:SQ) และเทสลา (NASDAQ:TSLA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่อีลอน มักส์ ปั่นว่าจะรับบิทคอยน์เป็นตัวกลางการชำระเงินเมื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้มูลค่าของบิทคอยน์เคยสูงขึ้นจนแตะ $65,500 ได้ ก่อนที่จะมาหักหลังกันด้วยข้ออ้างที่เด็กที่สุกว่าบิทคอยน์คือตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดมลพิษคาร์บอน

นี่อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าที่จริงแล้ว สกุลเงินดิจิทัลกำลังรอที่จะได้รับการยอมรับเพิ่มเติมเพื่อให้ตัวเองมีมูลค่าสูงขึ้น เป็นที่ยอมรับของโลกมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นได้รับการยอมรับจากแอปเปิลหรือการที่สามารถลงทุนในบิทคอยน์ได้ผ่านกองทุน ETF และ ETN เป็นต้น 

ความเสี่ยงที่รอผลักคริปโตฯ ให้ร่วงหล่น

อย่างที่ทราบกันดีว่าสกุลเงินเงินดิจิทัลเกิดมาเพื่อท้าทายกับระบบการเงินโลกที่มีธนาคารกลางและรัฐเป็นผู้ควบคุมหลัก เมื่อมีศัตรูมาท้ารบถึงหน้าบ้าน แน่นอนว่าภาครัฐก็ไม่ยอมแพ้ที่จะมอบอำนาจทางการเงินไปให้กับสกุลเงินที่ไม่มีใครควบคุมได้ง่ายๆ ยิ่งวงการนี้เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ ความท้าทายที่ต้องเผชิญกับโลกก็ยิ่งมีมากขึ้น 

นอกจากการไล่ทำลายเหมืองขุดบิทคอยน์แล้ว รัฐยังพยายามโยนความผิดให้กับสกุลเงินดิจิทัลด้วยวิธีต่างๆ นานา ภาครัฐยังคงอ้างตนว่าพวกเขาคือความถูกต้องและมีเสถียรภาพที่ดีกว่าสกุลเงินดิจิทัล อย่ากระนั้นเลย รัฐจึงเลียนแบบสกุลเงินดิจิทัลด้วยการพยายามสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองขึ้นมา เอาความสะดวกสบายที่มอบให้กับประชาชนมาแลกกับการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้เงินได้อย่างเต็มรูปแบบ

ความปลอดภัยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายผู้สนับสนุนคริปโตฯ ไม่อาจเถียงความเป็นจริงในข้อนี้ได้ สำหรับคนยุคใหม่การรักษา ID หรือ Private Key ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา แต่สำหรับคนยุคก่อนหน้านั้น คนที่เติบโตมากับโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต แม้แต่การสร้างบัญชีโซเชียลมีเดียและการจำรหัสของบัญชีโซเชียลแต่ละแพลตฟอร์มยังเป็นปัญหายุ่งยากสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงรหัสประหลาด 15 หลักที่เอามาเรียงเป็นคำไม่ได้ยิ่งไม่มีทางที่คนยุคก่อนหน้าจะรักษาได้ดี

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

อีกหนึ่งประเด็นที่ถือว่ากดดันตลาดสกุลเงินดิจิทัลได้อยู่พอสมควรคือการถูกโจมตีด้วยประเด็นของการรักษ์โลก ท่ามการกระแสที่หันไปทางไหนก็มีแต่พลังงานสะอาด แม้กระทั่งคนที่เชิดชูสกุลเงินดิจิทัลอย่างอีลอน มัสก์ก็ยังกล่าวหาบิทคอยน์ด้วยประเด็นนี้ก่อนจะหันไปบูชาโดจคอยน์ ดังนั้นจึงมีคนตั้งประเด็นว่าถ้าบิทคอยน์ยังใช้ PoW เป็นวิธีในการสร้างเหรียญอยู่ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นข้อครหานี้ไปได้

ในทศวรรษนี้ ผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับคนที่มีความรู้ด้านการเงิน มองว่าการกระทำของภาครัฐเสี่ยงต่อการคุกคามความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว พวกเขาอาจจะเลือกใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นที่เก็บสะสมความมั่งคั่งเป็นหลัก ทิ้งเงินไว้บางส่วนกับสกุลเงินดิจิทัลของภาครัฐเพราะใช้งานในโลกความเป็นจริงได้สะดวกกว่า ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อมั่นในภาครัฐก็จะเลือกใช้สกุลเงินดิจิทัลของรัฐ ยอมแลกข้อมูลส่วนตัวกับความสะดวกสบาย เราจะเริ่มยิ่งเห็นภาพนี้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับตอนนี้ ผมมองว่าตลาดสกุลเงินดิจิทัลในระยะสั้นอยู่ในแนวโน้มขาลง  

ความคิดเห็นล่าสุด

Thank​ you.
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย