ปัจจุบันวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และบริษัทผู้ผลิตที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหราชอาณาจักรมีเพียงสามบริษัทนี้เท่านั้นซึ่งก็เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แอสตราเซเนกา (LON:AZN) (NASDAQ:AZN) ไบโอเอ็นเท็ค (NASDAQ:BNTX) ไฟเซอร์ (NYSE:PFE) และโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) ส่วนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันนั้น (NYSE:JNJ) กำลังรอการอนุมัติจากองค์การฯ อยู่
ก่อนหน้าที่ไวรัสโควิด-19 จะเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของสหราชอาณาจักรคือ ‘รอยัล ดัช เชลล์’ (LON:RDSa) (NYSE:RDSa)บริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่นี้เคยเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของดัชนี FTSE 100 ซึ่งเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร แต่โควิด-19 ก็ได้ทำให้ความจริงนี้เปลี่ยนไป เพียงแค่ปีเดียวบริษัทแอสตราเซเนกาก็สามารถขึ้นมาเป็นบริษัทที่มูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับสองของ FTSE 100 เป็นรองเพียงบริษัทผู้ผลิตอาหารยักษ์ใหญ่นาม ‘ยูนิลิเวอร์’ (LON:ULVR) (NYSE:UL) เท่านั้น นับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน หุ้นของบริษัทแอสตราเซเนกาปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 2.5%
แม้ว่าปัจจุบันหลายๆ ประเทศจะมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว แต่สงครามระหว่างมนุษยชาติกับโรคระบาดครั้งนี้ยังไม่จบ เรายังคงต้องพัฒนาวัคซีนต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับที่ไวรัสก็กำลังหาทางรอดด้วยการกลายพันธุ์ นอกจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่เรารู้จัก ในบทความนี้เราจะพาไปความหวังใหม่ที่ต่อไปนี้เราอาจจะได้ยินการพูดถึงชื่อนี้มากขึ้น นี่คือบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดส่งเข้าประกวดอีกหนึ่งราย ชื่อของเขาคือ ‘นาโนพอร์’ (Nanopore)
อ๊อกซ์ฟอร์ด นาโนพอร์คือใคร?
นาโนพอร์คือบริษัทไบโอเทคที่แยกตัวออกมาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 เมื่อไม่นานมานี้นาโนพอร์พึ่งประกาศว่าจะทำ IPO เข้าตลาดหุ้นภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 เพื่อเปิดโอกาสให้กับตลาดลงทุนในสหราชอาณาจักร บริษัทนาโนพอร์เลือกที่จะสังกัดอยู่บนตลาดหุ้นลอนดอน
ปัจจุบันบริษัทนาโนพอร์มีพนักงานอยู่ทั้งสิ้น 600 คน กระจายกันทำงานอยู่ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ นาโนพอร์เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการหาลำดับดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ (DNA/RNA Sequencing) พวกเขามีระบบที่สามารถอ่านลำดับเอสดีเอ็นเอได้ทีละโมเลกุล ยกตัวอย่างเช่นเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า ‘MinION’ เป็นเครื่องมือที่นาโนพอร์ใช้ในการจัดเรียงโมเลกุลที่สามารถประหยัดเวลาและทุนทรัพย์ในการทำงานเชิงปฏิบัติการทางการแพทย์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในปี 2017 MinION เคยเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบความเป็นไปได้ในการเดินทางไปยังดาวอังคาร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คนั้นอย่าง ซาราห์ วอลเลซ หัวหน้านักวิจัยไบโอเมดิคอล กับเพื่อนร่วมงานของเธอได้กล่าวชื่นชม MinION ของนาโนพอร์ว่า
“เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะสามารถป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการเจอสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบนดาวอังคาร เราจึงได้ทดสอบด้วยการนำ MinION มาใช้ในการจัดเรียงลำดับโมเลกุลด้วยดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ผมการทดสอบได้ข้อสรุปว่าเราอาจจะสามารถวิเคราะห์ลำดับโมเลกุลตามรูปแบบของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้”
พูดง่ายๆ ก็คือนาโนพอร์นั้นมีชื่อเสียงในแวดวงวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อโควิด-19 เกิดขึ้นและเริ่มกลายพันธุ์ เทคโนโลยีของนาโนโปร์จึงกลายเป็นที่สนใจของคนในวงการทันทีว่าจะสามารถใช้วิธีของนาโนพอร์ในการติดตามวิวัฒนาการของโมเลกุลในไวรัสโควิด-19 ได้หรือไม่
ปัจจุบันงานของนาโนพอร์ได้รับเงินสนับสนุนมากมายคิดเป็นมูลค่า $848 ล้านเหรียญสหรัฐจากบริษัทชื่อดังเช่น IP Group (LON:IPO) Tencent (OTC:TCEHY), กองทุนจากสิงคโปร์ GIC บริษัทเทคฯ จากอาบูดาบี G42, Schroders (LON:SDR) (OTC:SHNWF) และ Odey Asset Management
ด็อกเตอร์กอร์ดอน ซังเฮร่า CEO และผู้ก่อตั้งนาโนพอร์กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทจะเข้าสู่ตลาดหุ้นว่า
“การทำ IPO ถือเป็นก้าวต่อไปสำหรับบริษัทนาโนพอร์อย่างแท้จริง การเข้าถึงเงินทุนระดับโลกจะช่วยยกระดับการทำงานของบริษัทให้สามารถผลิตวัคซีนเพื่อต่อกรกับโควิด-19 ได้เร็วยิ่งขึ้น”
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ นาโนพอร์พึ่งได้ผลิตที่ตรวจหาเชื้อโควิดแบบ ‘Rapid test’ โดยใช้ชื่อว่า ‘LamPORE’ เพื่อช่วยในการตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหราชอาณาจักรได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปัจจุบันนาโนพอร์ได้จดลิขสิทธิ์การคิดค้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับโควิดมากกว่า 1,400 สิทธิบัตร รวมถึงเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันมากมายที่เกี่ยวข้องการอุตสาหกรรมทางการแพทย์อีกด้วย
ในขณะนี้บริษัท IP Group ได้ถือหุ้นของบริษัทนาโนพอร์เอาไว้ 15% คิดเป็นเงินมูลค่า $470 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่ามูลค่าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น $5,530 ล้านเหรียญสหรัฐภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
นอกจากนาโนพอร์ยังมีบริษัทที่น่าสนใจอีกหรือไม่?
สำหรับตอนนี้เรายังเหลือเวลาอีกหลายสัปดาห์ก่อนที่นาโนพอร์จะประกาศ IPO อย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะถึงตรงนั้น ผู้อ่านจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าในทางการแพทย์แล้วกว่าวัคซีนตัวหนึ่งจะออกมาสู่สาธารณชนได้จะต้องผ่านสามขั้นตอนหลัก การทดสอบจากการแพทย์ การทดสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐ และสุดท้ายคือการออกสู่สาธารณะชน
รายงานจาก MarketsAndMarkets ได้สรุปงบประมาณที่มนุษยชาติต้องใช้ต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ว่าอาจขึ้นถึง $58,400 ล้านเหรียญสหรัฐได้ภายในปี 2024 นอกจากนาโนพอร์แล้วยังมีบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอื่นที่อยู่ในดัชนี FTSE100 ที่น่าสนใจเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นบริษัท GlaxoSmithKline (LON:GSK) (NYSE:GSK) และ Hikma Pharmaceuticals (LON:HIK) (OTC:HKMPY)
ปัจจุบันบริษัท GlaxoSmithKline มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับที่หกบนดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักร มีการทำงานร่วมกับหลายๆ องค์กรที่ทำเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตยา Hikma Pharmaceuticals หรือผู้ผลิตวัคซีนที่ช่วงก่อนอาจจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง ‘Remdesivir’ ปัจจุบันกำลังผลิตวัคซีนอยู่ภายใต้สัญญากับประเทศโปรตุเกส เมื่อเดือนตุลาคมปี 2020 องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้อนุมัติแล้วว่าให้สามารถใช้ Remdesivir ในการรักษาโควิดฉุกเฉินได้
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวตามที่ได้กล่าววมานี้ เรามีกองทุนรวมหุ้น ETF ที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้มาแนะนำ: