อินเทล (NASDAQ:INTC) บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนติดหนึ่งในห้าบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดบนดัชนีดาวโจนส์ ในปีที่แล้วนักลงทุนต่างรีบเข้ามาถือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีเพราะเป็นกลุ่มเดียวที่เติบโตได้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด แต่ปัญหาที่บริษัทในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เจอเหมือนๆ กันก็คือความขาดแคลนส่วนประกอบที่นำมาใช้ในการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ แต่อินเทลเป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุด
ปี 2020 ที่ผ่านมานับไม่ใช่โชคดีของบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายนี้เท่าไหร่นัก วิกฤตโควิด-19 ทำให้หุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงประมาณ 20% ไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนรถไฟขาขึ้นในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากจะประสบปัญหาด้านการขาดแคลนวัตถุดิบจนไม่สามารถผลิตชิปฯ รุ่นใหม่แล้ว ความน่าสนใจของอินเทลยังถูกแย่งไปด้วยบริษัทผู้ผลิตชิปรุ่นใหม่ที่มีความใหม่กว่า สดกว่า น่าดึงดูดกว่าอย่างเช่นบริษัทเอเอ็มดี (NASDAQ:AMD) เอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) และไตหวัน เซมิคอนดักเตอร์ (NYSE:TSM)
แต่พฤติกรรมขาขึ้นที่เริ่มเกิดมาตั้งแต่เข้าสู่ปี 2021 ซึ่งสวนทางกับกราฟในปี 2020 เป็นอย่างมากทำให้ตลาดเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น? อะไรคือปัจจัยที่ทำให้หุ้นอินเทลเปลี่ยนพฤติกรรมการวิ่งของราคาได้รวดเร็วเช่นนี้?
หากพิจารณาจากภาพรวมตลาดลงทุนสหรัฐฯ ในตอนนี้จะเห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามากขึ้น จึงทำให้นักลงทุนเริ่มหันกลับมาลงทุนกับหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและพากันถอยออกมาจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อินเทลก็เป็นหนึ่งหุ้นที่ได้รับอานิสงส์ครั้งนี้ด้วย นอกจากอินเทลแล้ว หุ้นรุ่นเก๋าตัวอื่นๆ อย่างเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) วอลล์กรีน (NASDAQ:WBA) ก็พากันปรับตัวสูงขึ้นจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ล่าสุดหุ้นอินเทลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $63.72 ปรับตัวลดลง 3% ตลอดทั้งวันพฤหัสบดี
CEO คนใหม่คือความหวังของ Intel
การรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดแสดงให้เห็นว่าอินเทลกำลังมีปัญหากับการทำให้ชิปคอมพิวเตอร์ในตอนนี้มีความเร็วและแรงมากกว่าบริษัทคู่แข่ง แม้กำไรในไตรมาสล่าสุดจะเพิ่มขึ้น 8% ในการรายงานตัวเลขแบบปีบัญชี แต่ตลอดทั้งปี 2019 ปรากฎว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% เท่านั้นและยังคาดการณ์ว่ายอดขายแบบปีบัญชีในอนาคตจะลดลง 10%
แม้จะมีกระแสกดดันมาว่าอินเทลควรให้บริษัทผู้ผลิตชิปฯ เอาท์ซอร์ส (outsource) เข้ามาช่วย แต่นายแพท เกลซิงเกอร์ CEO ของอินเทลยังยืนยันว่าบริษัทต้องการที่จะผลิตชิปฯ ภายในบริษัทเองเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์สามารถทำงานไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น
“ผมเชื่อว่าอินเทลมีศักยภาพพอที่จะจัดการปัญหาภายในนี้ได้ด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันเราก็ยังเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอด ไม่เพียงเท่านั้นเรายังตั้งเป้าที่จะกลับไปเป็นผู้นำตลาดด้านการผลิตชิปคอมพิวเตอร์เช่นเดิมอีกด้วย” - CEO ของบริษัทอินเทลกล่าว
นักวิเคราะห์บางคนมองว่านี่คือการขุดหลุมฝังตัวเองของอินเทล ในขณะที่บางคนกลับมองว่านี่คือคำสัญญาว่าอินเทลจะสามารถเติบโตได้ในปีนี้ ควินน์ โบลตัน นักวิเคราะห์จาก Needham เป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในคำพูดของ CEO อินเทล และได้แสดงความเห็นว่า
“เมื่อแพท เกลซิงเกอร์สามารถก้าวขึ้นมาเป็น CEO ของอินเทลได้แล้ว เราเชื่อว่าอินเทลจะสามารถมองเห็นจุดอ่อนของตัวเองและสามารถกลับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดผู้ผลิตชิปฯ ได้อีกครั้ง ผมคิดว่าอินเทลอาจจะยกขั้นตอนการผลิตชิปฯ บางส่วนที่ล้ำหน้าไปให้ TSMC จากนั้นก็จะนำกลับมาผลิตชิปฯ รุ่นใหม่ที่เป็นของตัวเอง กลยุทธ์นี้จะลดต้นทุนด้านการจ้างงานคน เพิ่มกระแสเงินสดและเพิ่มกำไรในส่วนที่ต้องคืนให้กับผู้ถือหุ้นได้อีกด้วย”
ฮัลลัน ซัวร์ นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกน ได้ปรับความน่าสนใจของหุ้นอินเทลขึ้นมาอยู่ในระดับ “น่าซื้อ” ตั้งแต่เดือนมกราคมพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายของหุ้นเอาไว้ที่ $70 เขาให้เหตุผลว่าประวัติความสำเร็จของแพท เกลซิงเกอร์ที่ “วีเอ็มแวร์” (NYSE:VMW) ทำให้เขาจะเป็นกุญแจสำคัญที่อาจพาอินเทลออกมาจากปัญหาการขาดความคิดสร้างสรรค์ของอินเทลครั้งนี้ได้
โดยสรุปแล้ว
หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวที่กำลังมองหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นอินเทลอยู่ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะเหมาะสมไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตั้งแต่ตลาดย้ายมาลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฎจักรมากขึ้น หุ้นอินเทลก็ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 30% นอกจากนี้ การเติบโตทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยน CEO จะยิ่งเป็นแรงสนับสนุนขาขึ้นของอินเทล แต่หากคุณอยากรอให้หุ้นอินเทลย่อตัวลงมาอีกนิดแล้วหาจังหวะเข้า ก็ยังไม่สายเกินไปนัก