จบลงไปอย่างราบรื่นสำหรับพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกานายโจ ไบเดน แต่สิ่งที่ยังยังไม่จบนั้นคือความคาดหวังของนักลงทุนที่หวังว่าจะได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในเร็ววันนี้ นอกจากการทำงานอย่างเป็นทางการสัปดาห์แรกของโจ ไบเดนแล้ว สิ่งที่เป็นไฮไลท์สำหรับนักลงทุนในสัปดาห์นี้คือการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนชื่อดังหลายแห่ง
สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดได้ทราบตัวเลขผลประกอบการของธนาคารใหญ่ๆ กันไปเป็นที่เรียบร้อย ในสัปดาห์นี้จะเป็นคิวของบริษัทชื่อดังมากกว่า 450 บริษัทที่เราต่างก็รู้จักกันดี ยกตัวอย่างเช่นโบอิ้ง (NYSE:BA) แคเทอร์พิลลาร์ (NYSE:CAT) สตาร์บัคส์ (NASDAQ:SBUX) และบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อีกหลายแห่ง ในบทความนี้ เราจะพามาดูรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านั้นที่จะรายงานผลประกอบการของช่วงระหว่างเดือนกันยายน - ธันวาคมปี 2020 ที่ผ่านมา
1. Apple
บริษัทผู้ผลิตมือถือสมาร์ทโฟนชื่อดัง “iPhone” อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ในวันพุธที่ 27 มกราคมหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าโดยเฉลี่ยแล้วแอปเปิลจะสามารถรายงานตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ออกมาอยู่ที่ $1.4 และรายงานตัวเลขผลกำไรในไตรมาสนี้ออกมาอยู่ที่ $102,310 ล้านเหรียญสหรัฐ การรายงานตัวเลขแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 1 นั้นสำคัญกับแอปเปิลมาก เพราะจะเป็นการรายงานตัวเลขยอดขายโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ที่ออกมาตรงกันกับช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี
หุ้นแอปเปิลปรับตัวขึ้น 75% ภายในช่วงระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด สูงกว่าตัวเลขของดัชนีสำหรับหุ้นเทคโนโลยีอย่างแนสแด็กอยู่หลายเท่าเพราะความต้องการโทรศัพท์รุ่นใหม่อย่าง iPhone 12 ที่สามารถรองรับ 5G ได้แล้วยังเป็นที่ต้องการของตลาด
การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มนุษยชาติหันมาสนใจดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่าในปีนี้จะยังคงเป็นปีทองของแอปเปิลอยู่เช่นเคย นอกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจุยหนุนแล้ว ความต้องการซื้อเทคโนโลยีอื่นๆ ที่อยู่รอบโทรศัพท์มือถือ iPhone อย่างเช่น Apple Watch ที่เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพและบริการอื่นๆ จะยังช่วยให้แอปเปิลมีกำไรอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดหุ้นแอปเปิลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $139.07 และบริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $2,340,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
2. Tesla
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงที่สุดในวงการรถยนต์ EV อย่างเทสลา (NASDAQ:TSLA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันพุธที่ 27 มกราคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นจะมีตัวเลขอยู่ที่ $1.01 ในขณะที่ตัวเลขยอดขายในไตรมาสนี้จะมีตัวเลขอยู่ที่ $10,370 ล้านเหรียญสหรัฐ
หุ้นของเทสลาทะยานขึ้นในปี 2020 มากกว่า 800% กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดติดหนึ่งในห้าของสหรัฐอเมริกาโดยมีตัวเลขอยู่ที่ $802,000 ล้านเหรียญสหรัฐ กระแสความต้องการรถพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นายอีลอน มักส์ CEO ของบริษัทสามารถแซงเจฟ เบโซสขึ้นเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกได้เป็นที่เรียบร้อย
ตอนนี้เทสลาไม่ได้เผชิญปัญหาทางด้านการผลิตอย่างที่เคยเป็นมาก่อนในปี 2019 อีกแล้ว บริษัทพึ่งประกาศความสำเร็จที่สามารถผลิตรถยนต์และส่งมอบให้กับลูกค้าได้ 500,000 คันตรงตามเป้าที่กำหนดไว้ในปี 2020 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นเป้าที่เติบโตขึ้นจากเดิม 36% เมื่อเทียบกับเป้าหมายในปี 2019
สิ่งที่นักลงทุนต้องการทราบจากการรายงานผลประกอบการของเทสลาในครั้งนี้คือบริษัทจะประเมินตัวเลขยอดขายในปี 2021 ไว้ที่เท่าไหร่ อีกหนึ่งคำถามที่เชื่อว่าทุกคนอยากรู้คือความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในจีนจะทำให้ยอดขายรถยนต์เทสลาเติบโตได้มากกว่านี้อีกหรือไม่ รายงานจาก Wedbush Securities เมื่อวันที่ 14 มกราคมเผยว่าเทสลาตั้งเป้าที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าในประเทศจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ภายในปี 2022 เพราะรถยนต์โมเดล วาย (Model Y) ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าในรายงานผลประกอบการครั้งนี้ เทสลาอาจประกาศเป้าส่งมอบรถยนต์ให้ได้ 1 ล้านคันให้ได้ภายในปีหน้า
3. Advanced Micro Devices
บริษัทผู้ผลิตการ์ดจอที่มาแรงที่สุดในวงการเกมปีที่แล้วนามเอเอ็มดี (NASDAQ:AMD) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 26 มกราคมหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นจะมีตัวเลขอยู่ที่ $0.47 ในขณะที่ตัวเลขยอดขายในไตรมาสนี้จะมีตัวเลขอยู่ที่ $3,020 ล้านเหรียญสหรัฐ
นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมปี 2020 หุ้นเอเอ็มดีก็สามารถปรับตัวขึ้นมาได้มากถึง 78% ในรอบสิบสองเดือนล่าสุดจากความต้องการชิปคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นในยามวิกฤตโรคระบาด ด้วยกระแสความนิยมนี้ทำให้เอเอ็มดีสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์สำคัญที่มีอิทธิพลขับเคลื่อนดัชนีเซมิคอนดักเตอร์
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ยอดขายคอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊กเติบโตขึ้นอย่างมาก ที่สำคัญ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ได้มีการเปิดตัวเครื่องเล่มเกมคอนโซลรุ่นใหม่อย่าง “Xbox Series X” จากไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) และ “PlayStation 5” จากโซนี่ (NYSE:SNE) ซึ่งทั้งสองเครื่องเลือกที่จะใช้ชิปคอมพิวเตอร์ากเอเอ็มดีเป็นหัวใจหลักในการประมวลผล จนถึงตอนนี้ความต้องการเครื่องเล่นเกม PlayStation 5 ยังคงปรากฎให้เห็นในหลายพื้นที่ทั่วโลก หมายความว่าการผลิตชิปของเอเอ็มดีก็ยิ่งจะต้องปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย