และแล้วเราก็เดินทางมาถึงช่วงปลายสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมปี 2020 กันแล้ว สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก่อนวันหยุดคริสต์มาสจะมาถึงคือตลาดหุ้นจะมีพฤติกรรมขานรับเช่นไรเมื่อได้ทราบข่าวการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากสภาคองเกรสในช่วงเช้าของวันนี้ตามเวลาประเทศไทย ครั้งนี้สภาอนุมัติให้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงิน $900,000 ล้านเหรียญสหรัฐพร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจในแบบอื่นๆ อีกเช่นเงินเยียวยาที่จะไปสู่ประชาชนโดยตรงจำนวน $600 และการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามจำนวนขอเงินเยียวยาครั้งนี้ถือว่าน้อยกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก แต่การมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยังดีกว่าไม่มีมาตรการอะไรรองรับเลย ในบทความนี้เราจะมาอัปเดตสถานการณ์ของหุ้นบางบริษัทที่มีความเคลื่อนไหวสำคัญก่อนที่เทศกาลวันหยุดยาวจะมาถึง
1. Tesla
ทันทีที่เปิดตลาดลงทุนสหรัฐฯ วันนี้นักลงทุนจะให้ความสนใจไปยังหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงที่สุดในปีนี้อย่างเทสลา (NASDAQ:TSLA) เพราะวันนี้จะเป็นวันที่หุ้นเทสลาจะถูกเชิญขึ้นไปอยู่บนดัชนีที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา "S&P 500" อย่างเป็นทางการ การขึ้นไปอยู่บนเอสแอนด์พี 500 จะทำให้หุ้นเทสลามีสถานะเป็นหุ้นในกลุ่มบลูชิปและจะกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ทรงพลังจนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้ ล่าสุดก่อนที่จะขึ้นเอสแอนด์พี 500 หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมา 43% ภายในระยะเวลา 30 วันล่าสุด มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $695 ปรับตัวขึ้นในวันศุกร์อีก 5.96%
ขาขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้วของหุ้นเทสลาหลักๆ นั้นมาจากการขานรับของนักลงทุนที่มีต่อข่าวดีนี้ การขึ้นไปอยู่บนเอสแอนด์พี 500 ทำให้ต่อจากนี้จะมีเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์ไหลเข้ามาสู่หุ้นเทสลา หลังจากตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันที่หุ้นเทสลาขึ้นมาแล้ว 700% ตอนนี้บริษัทมีมูลค่าตลาดมากกว่า $600,000 ล้านเหรียญสหรัฐและกำลังจะกลายเป็นหุ้นที่ทรงอิทธิพลที่สุดอันดับห้าบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในคืนนี้
จุดเปลี่ยนของเรื่องน่ายินดีนี้เกิดขึ้นเมื่อบริษัทเทสลาสามารถรายงานผลประกอบการที่มีแต่กำไรได้ห้าไตรมาสติดต่อกัน นอกจากนี้เทสลายังมีโรงงานผลิตรถยนต์ใหญ่อยู่ในประเทศจีนและกำลังเริ่มสร้างโรงงานใหม่อีกแห่งในประเทศเยอรมัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนก็ยังคงเตือนถึงความเปราะบางของหุ้นเทสลา พวกเขาเชื่อว่าหุ้นเทสลาจะร่วงลงหลังจากได้มีชื่ออยู่บนดัชนีแล้วเพราะมูลค่าของหุ้นอยู่สูงกว่าสถานะทางการเงินที่แท้จริงของบริษัท
2. Moderna
คืนนี้หุ้นของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) อาจมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลังจากวัคซีนของบริษัทได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ให้สามารถใช้ในกรณีฉุกเฉินได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในปีนี้นักลงทุนนิยมนำเงินไปลงทุนกับหุ้นของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เป็นจำนวนมาก
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้บริษัทไฟเซอร์ (NYSE:PFE) และพาร์ทเนอร์ไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX)คือผู้ที่ได้รับอนุญาตจาก FDA ไปก่อนแล้ว ข่าวดีนี้ทำให้หุ้นของบริษัทผู้ผลิตยาทั้งสองมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ เมื่อ FDA อนุมัติวัคซีนของโมเดิร์นนาเป็นบริษัทที่สอง นักลงทุนจึงเชื่อว่าหุ้นของโมเดิร์นนาก็จะปรับตัวขึ้นตามข่าวดีนี้ด้วยเช่นกัน
ข่าวการผลิตวัคซีนของโมเดิร์นนาก่อนหน้านี้ทำให้ตลอดทั้งปีหุ้นของบริษัททะยานขึ้นมามากกว่า 600% การส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นทันทีและการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเชื่อว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2021 นางสเตฟานนี่ แบนเซิล CEO ของโมเดิร์นนากล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า
“ฉันภูมิใจกับสิ่งที่ทีมผู้พัฒนาวัคซีนของโมเดิร์นนาได้ทำลงไปจนได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป้าหมายของเราต่อจากนี้คือการเพิ่มปริมาณการผลิตวัคซีนของเราเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องประชาชนชาวอเมริกันทุกคนให้รอดพ้นจากโรคมรณะนี้”
3. Nike
หุ้นของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายสำหรับการออกกำลังกายชื่อดังไนกี้ (NYSE:NKE) ถือเป็นหุ้นตัวสุดท้ายที่เราเชื่อว่าตลาดจะให้ความสนใจในระดับหนึ่ง ผู้ถือหุ้นไนกี้อาจต้องการทำกำไรหรือปิดคำสั่งซื้อกับหุ้นไนกี้ก่อนวันหยุดยาวหลังจากได้ทราบว่าไนกี้สามารถทำกำไรได้มากกว่าที่ประเมินเอาไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่พึ่งเกิดขึ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
จากรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดพบว่าไนกี้สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 8.9% ติดเป็น $11,200 ล้านเหรียญสหรัฐและตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นก็เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ $0.62 เป็น $0.78 ต่อหุ้น กำไรหลักๆ ของไนกี้ครั้งนี้มาจาก E-commerce เป็นหลักและการเติบโตของยอดขายที่สามารถกลับมาได้ในประเทศจีน
จอห์น โดนาโฮล CEO ของไนกี้กล่าวหลังจากรายงานผลประกอบการว่า
“นี่คือช่วงเวลาที่ทำให้แบรนด์ไนกี้ของเราแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็น อุปสรรคที่เข้ามาบังคับทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้ผู้บริโภคจะย้ายรูปแบบการซื้อสินค้าไปอยู่บนโลกดิจิทัล แต่เทรนด์รักสุขภาพยังเป็นสิ่งที่พวกเขาคำนึงถึง สิ่งที่เราทำไปเป็นเพียงการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสก็เท่านั้น”
นอกจากนี้ ไนกี้ยังปรับตัวเลขคาดการณ์ภาพรวมบริษัทในปีหน้าขึ้น บริษัทเชื่อว่ากำไรแบบปีต่อปีจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเกิน 10% ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นไนกี้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 35% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $137.28