แม้สัปดาห์นี้เวลาในการลงทุนจะสั้นกว่าปกติเนื่องจากมีวันขอบคุณพระเจ้าในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างเช่นยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นจนอาจนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ในบางรัฐ หากเกิดขึ้นจริงย่อมส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับนักลงทุนผู้ที่มองไปยังโลกหลังยุคโควิดแล้ว ตอนนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เห็นราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา พวกเขาจะมองว่าเป็นการย่อเพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถือหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากวัคซีนต้านโควิด-19 โดยตรง พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นตัวยาจริงๆ ก่อนสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากธนาคารชื่อดังเจพี มอร์แกนได้ออกมาเตือนนักลงทุนเมื่อวันศุกร์ว่า “หน้าหนาวปีนี้จะหนาวยิ่งกว่าทุกๆ ปี” ในความหมายของธนาคารชื่อดังคงหมายถึงมาตรการคุมเข้มโควิดที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สี่ปี 2020 ต้องติดลบเป็นครั้งแรก ในบทความนี้เราจะพาไปดูบริษัทที่ยังไม่ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ซึ่งเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
1. Best Buy
ร้านค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคสัญชาติอเมริกันเบสท์ บาย (NYSE:BBY) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เบสท์ บายจะสามารถทำกำไรได้ทั้งสิ้น $11,000 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.71
ตลอดทั้งปีนี้ยอดขายของเบสท์ บายได้รับอานิสงส์มาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านมากยิ่งขึ้น ความต้องการเทคโนโลยีเพื่อใช้งานที่บ้านทำให้ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเบสท์ บายปรับตัวขึ้น 26% มีราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $119.14
ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เบสท์ บายสามารถทำยอดขายในระดับสองหลักได้จากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะยอดขายผ่านทางออนไลน์ เบสท์ บายมีกำไรเพิ่มขึ้น 242% หากต้องการที่จะรักษาความแข็งแกร่งนี้เอาไว้ เบสท์ บายจะต้องแสดงยอดขายทาง E-Commerce ที่สามารถชดเชยการขาดทุนที่เกิดขึ้นจากร้านตัวแทนจัดจำหน่ายปกติที่เจอผลกระทบจากโควิด-19 ในการรายงานผลประกอบการวันพรุ่งนี้
2. Dell Technologies
บริษัทผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์จากรัฐเท็กซัส เดลล์ (NYSE:DELL) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันอังคารเช่นเดียวกับเบสท์ บาย แต่จะรายงานหลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เดลล์จะสามารถทำกำไรได้ทั้งสิ้น $21,900 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.36
กำไรของเดลล์ในไตรมาสนี้ได้อานิสงส์ในลักษณะเดียวกันกับเบสท์ บาย แต่ถึงแม้จะได้กำไรจากการทำงานอยู่บ้านของผู้คนแต่พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของเดลล์ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดจนนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่สอง กำไรจากการขายคอมพิวเตอร์ให้กับผู้บริโภครายย่อยเพิ่มขึ้น 18% แต่ยอดขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะให้กับลูกค้าที่เป็นองค์กรกลับลดลง 11%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้อ้างอิงคำพูดของ CEO บริษัทนายไมเคิล เดลล์ที่ออกมาพูดว่าเขาจะปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทเดลล์ใหม่อีกครั้ง เขาหวังว่าจะสามารถทำกำไรได้จากบริษัท VMware (NYSE:VMW) ที่เดลล์ไปควบรวมกิจการมาได้ตั้งแต่หลายปีก่อน เป็นไปได้ว่าเดลล์อาจต้องการให้ VMware แยกตัวออกมาตั้งเป็นบริษัทเองอีกครั้งภายใต้การบริหารของบริษัท ล่าสุดหุ้นของเดลล์มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $68.34 ตลอดทั้งปี 2020 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 36%
3. Deere & Company
บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดียร์ แอนด์ คอมปานี (NYSE:DE) หรือที่รู้จักกันในนาม “จอห์น เดียร์” จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจอห์น เดียร์จะสามารถทำกำไรในไตรมาสนี้ได้ $7,560 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.49
นับตั้งแต่ลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ในเดือนมีนาคม หุ้นของจอห์นเดียร์ก็สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งจากความต้องการอุปกรณ์ทางการเกษตร แม้จะต้องเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 แต่ความต้องการสินค้าเกษตรของผู้บริโภคยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง บริษัทเคยกล่าวเอาไว้ในเดือนสิงหาคมว่ายอดขายอุปกรณ์การเกษตรของบริษัทอาจลดลง 10% เมื่อเทียบกับกรอบกำไรปกติที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10% - 15%
จอหน์ เมย์ CEO ของบริษัทกล่าวเอาไว้ว่า
“แม้จะเจอกับปัจจัยความไม่แน่นอนที่สูงมากเป็นพิเศษในปีนี้ แต่เราเชื่อว่าบริษัทจอห์นเดียร์ยังเป็นจ้าวแห่งโลกการเกษตรอยู่ นอกจากนี้เรายังเป็นผู้ที่มอบความช่วยเหลือและกำไรที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรที่ต้องการ”
ในปี 2020 นี้หุ้นจอห์นเดียร์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 49% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นมา 10% มีราคาซื้อขายล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 1% หรืออยู่ที่ $258.56