สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนจากแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
ติดตามประเด็นการเมืองในสหรัฐฯ รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลง Brexit ที่อาจส่งผลให้ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นได้ตลอดทั้งสัปดาห์
เราคาดว่า ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินจะเป็นแรงหนุนเงินดอลลาร์ในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากปัญหาการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปหรือการโต้วาทีของผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่หันมาโจมตีประเทศจีนมากขึ้น ด้านฝั่งเงินบาทก็ต้องระวังปัญหาการเมืองในประเทศที่อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
กรอบเงินบาทสัปดาห์หน้า 31.00-31.50 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – ปัจจัยสำคัญยังคงเป็นความคืบหน้าการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังการระบาดของ COVID-19 ยังคงมีความรุนแรงและส่งผลให้ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (Initial Jobless Claims) เพิ่มขึ้นกว่า 9แสนราย ทั้งนี้ภาคการผลิตและการบริการของสหรัฐฯ จะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ชี้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (Manufacturing and Services PMIs) เดือนตุลาคมที่ระดับ 53.5จุด และ 54.6จุด ตามลำดับ (ดัชนีมากกว่า 50จุด หมายถึงการขยายตัว) นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาการโต้วาทีของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งสุดท้าย โดยมีหัวข้อหลักที่น่าสนใจ อาทิ การรับมือ COVID-19, ความมั่นคงของชาติ, Climate Change รวมถึง ประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติในสหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด คือ เรื่องการรับมือ COVID-19 และความมั่นคงของชาติ โดยผู้ท้าชิงทั้งสองฝ่าย อาจใช้โอกาสนี้ในการเปิดประเด็นโจมตีประเทศจีนเพื่อเรียกคะแนนเสียง กดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นได้
ฝั่งยุโรป – ตลาดจะยังคงติดตามการเจรจาข้อตกลง Brexit ที่ยังพอมีหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกันการระบาดของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ตลาดมองว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจในยุโรปอาจชะลอตัวลง สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซน (Manufacturing and Services PMIs) เดือนตุลาคมที่จะลดลงสู่ระดับ 53จุด และ 47จุด ตามลำดับ ชี้ว่าภาคการผลิตและการบริการได้ชะลอตัวลงมากขึ้น
ฝั่งเอเชีย – ภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียยังคงสดใส หนุนโดยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 ที่จะขยายตัวถึง 5.5% จากปีก่อน สอดคล้องกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกันยายนซึ่งล้วนปรับตัวดีขึ้น เริ่มจากยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production)ที่โต5.8% ส่วนยอดค้าปลีก (Retail Sales) ก็ขยายตัว 1.6% ดีขึ้นจากที่ขยายตัวเพียง 0.5% ก่อนหน้า นอกจากนี้ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) จะพลิกกลับมาโตได้ 0.9% จากหดตัว 0.3% ในเดือนก่อน
ฝั่งไทย – ตลาดมองว่ายอดส่งออก (Exports) ในเดือนกันยายนจะหดตัว 5% จากปีก่อนหน้า ฟื้นตัวดีขึ้นจากที่หดตัวราว 8% ในเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับยอดนำเข้า (Imports) ที่หดตัว 17% ดีขึ้นจากที่หดตัวราว 19% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนการบริโภคในประเทศที่ค่อยๆฟื้นตัว