ปลดล็อคข้อมูลพรีเมียม: ส่วนลดสูงสุดถึง 50% InvestingProรับส่วนลด

3 ปัจจัยสำคัญกดดันตลาดลงทุนแม้อาการทรัมป์จะดีขึ้น

เผยแพร่ 06/10/2563 06:34
อัพเดท 09/07/2566 17:31
DJI
-
IXIC
-
  • การรายงานของแหล่งข่าวเกี่ยวกับอาการของทรัมป์ที่ขัดแย้งกันทำให้ตลาดลงทุนเกิดความสงสัย

  • ตลาดลงทุนยังต้องเผชิญหน้ากับสามปัจจัยเสี่ยงหลัก

  • ดอลลาร์แข็งค่าในขณะที่ทองคำและกราฟผลตอบแทนพันธบัตรฯ พากันร่วง

  • การเปิดตลาดลงทุนสหรัฐฯ ในช่วงเช้าของวันนี้อาจมีความผันผวนเกิดขึ้นได้เนื่องจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้รายงานอาการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ตรงกัน นอกจากข่าวนี้สิ่งที่นี้ลงทุนจะให้ความสนใจย่อมจะเป็นความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สอง ยิ่งข่าวดีในใกล้จะเป็นความจริงมากเท่าไหร่ยิ่งสร้างความผันผวนให้กับตลาดมากขึ้นเท่านั้น

    คำพูดของนางแนนซี่ เปโลซี่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่าจะช่วยประนีประนอมกับตัวแทนรีพลับลิกันที่นั่งอยู่ในสภาสูงเพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองเกิดขึ้นให้ได้ช่วยให้การเทขายในตลาดลดความรุนแรงลงเพราะก่อนหน้านั้นตลาดกำลังช๊อกอยู่กับข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก แม้ว่าจะลดความเสียหายลงได้แต่ดัชนีหลักๆ อย่าง S&P 500, ดาวโจนส์, NASDAQ และ Russell 200 ล้วนแล้วแต่จนสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลดลงทั้งสิ้น

    3 ปัจจัยกดดัน 1 ปัจจัยแห่งความไม่แน่นอน

    ในช่วงคืนวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หลังจากที่ตลาดลงทุนปิดไปแล้ว ประธานาธิบดิโดนัลด์ ทรัมป์ได้เดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารที่ดีที่สุดของประเทศ “วอลเตอร์ รีด” หลังจากนั้นเขาก็ได้อัดวิดีโอบอกกับชาวอเมริกันและทั่วโลกว่า “ภายในไม่กี่วันหลังจากนี้จะเป็นวันที่ผมได้เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังจากทีมแพทย์” ในตอนนี้เองที่มีการรายงานที่ขัดแย้งกันเพราะหมอที่ทำการรักษาโดนัลด์ ทรัมป์บอกกับสื่อว่าอาการของทรัมป์ “ปลอดภัยดีมาก ไม่มีไข้และไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แต่จากรายงานของสมาชิกระดับสูงในทำเนียบขาวท่านหนึ่งกลับบอกว่า “การฟื้นตัวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังไม่มีอะไรชัดเจน”

    แม้ว่าวันนี้จะมีข่าวแล้วว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายในวันนี้ซึ่งเราเชื่อว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้คือการคุยโวโอ้อวดตัวเองว่าสามารถเอาชนะโควิดได้และจะยิ่งโจมตีจีนหนักกว่าเดิมเกี่ยวกับประเด็นนี้ จะเป็นเรื่องที่ประหลาดใจมากเลยหากว่าเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้หลังจากออกจากโรงพยาบาล ไม่ว่าทรัมป์จะทำอะไรหลังจากออกจากโรงพยายาลแล้วเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธการเลือกตั้งที่ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 30 วันได้อีกต่อไปซึ่งนั่นทำให้เกิดสามปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดลงทุนที่ต้องจับตามอง

    1. การบริหารจัดการควบคุมโรคระบาด

    การเข้าโรงพยาบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สร้างผลกระทบทางจิตวิทยาต่อตลาดเป็นอย่างสูงและทำให้ผู้คนที่แม้ไม่ใช่นักลงทุนก็กลับมาให้ความสนใจกับโรคนี้อีกครั้ง จนถึงตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อในแต่ละวันของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นวันละ 40,000 คน นี่เป็นข้อมูลของสัปดาห์ที่แล้วซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในเดือนเมษายนที่เป็นช่วงล็อกดาวน์ 38% 

    เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตราบใดที่โรคระบาดยังคงอยู่ เศรษฐกิจและตลาดลงทุนจะยังได้รับแรงกดดันต่อไป แม้จะมีข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนรักษาโรคออกมาแต่ก็ยังไม่มีสักบริษัทที่กล้าออกมารายงานอย่างเต็มปากว่ายาของพวกเขาสามารถนำออกไปใช้งานได้แล้วจริงๆ และต่อให้สามารนำออกมารักษาได้จริงๆ ก็ต้องมาดูผลลัพธ์กันอีกว่ายาดังกล่าวจะสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสได้เลยหรือไม่หรือเจ้าโควิด-19 จะสามารถรับมือกับยาดังกล่าวได้แล้วกลายพันธุ์ไปอีก ที่สำคัญยาดังกล่าวจะสามารถผลิตออกมามากพอจนสามารถแจกจ่ายไปทั่วโลกได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่

    2. การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัว

    รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรหรือนอนฟาร์มที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วโดยรวมไม่ได้สร้างความดีใจให้กับตลาดมากนัก จำนวนงานที่เพิ่มขึ้นมาในเดือนกันยายนมีเพียง 661,000 ตำแหน่งเทียบกับตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ที่ 850,000 ตำแหน่ง ยังดีที่อัตราการว่างงานออกมาที่ 7.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์

    อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบตัวเลขตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นพบว่ามีส่วนต่างระหว่างตัวเลขคาดการณ์และตัวเลขที่ออกมาจริงอยู่ประมาณ 200,000 ตำแหน่ง ที่สำคัญตัวเลขที่ออกมานั้นน้อยกว่าตัวเลขตำแหน่งงานในเดือนสิงหาคมที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,500,000 ตำแหน่ง เมื่อวิเคราะห์ในช่วงห้าเดือนล่าสุดที่มีตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นพบว่ายังมีคนอีก 6,800,000 คนที่ยังว่างงานอยู่ ล่าสุดสัปดาห์ที่แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐฯ อย่างดิสนีย์ (NYSE:DIS) พึ่งประกาศจะปลดพนักงานเพิ่มและสถานการณ์ของสายการบินหลักๆ ภายในประเทศก็ยังมีความเสี่ยงสูงอยู่

    3. พรรครีพลับลิกันและเดโมแครตยังตกลงตัวเลขกระตุ้นเศรษฐกิจที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้

    ขาขึ้นที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคมปีนี้และเป็นขาขึ้นที่แรงมากที่สุดในศตวรรษมีปัจจัยหนุนมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรก ครั้งก่อนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้อัดเงินช่วยเหลือเข้ามาในระบบเกือบ $4,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศต้องถดถอยกลับไปเหมือนดั่งสมัยปี 1930 

    แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะออกมาย้ำหลายครั้งแล้วว่ารัฐบาลยังคงจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบแต่ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่อย่างรีพลับลิกันและเดโมแครตก็ยังหาตัวเลขที่พอใจไม่ได้ จนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้วสภาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรได้อนุญาตให้ร่างกฎหมายเงินเยียวยามูลค่า $2,200,000 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านแต่สิ่งที่ทุกคนเป็นกังวลก็คือสภาสูงซึ่งมีพรรครีพลับลิกันอยู่มากกว่าจะยอมให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านหรือไม่ซึ่งนักลงทุนจะได้รู้ผลการตัดสินใจนั้นภายในสัปดาห์นี้

    ที่น่าสนใจกว่าก็คือว่าต่อให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้รับความเห็นชอบและกลายเป็นกฏหมายจริงๆ แล้ว ข่าวดีนี้จะช่วยพาตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้นไปได้ไกลแค่ไหนในสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนจากอาการป่วยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมปฺ์และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว

    ตลาดหุ้นยังคงผันผวนแม้ว่าจะผ่านเดือนกันยายนสุดโหดมาแล้ว

    สัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดฉากเดือนกันยายนด้วยการปรับตัวลดลง 4% ในที่สุดขาขึ้นตลอดหกเดือนตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคมก็ได้โอกาสพัก เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วเราก็มีบทความเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับทิศทางของกราฟ S&P 500 ที่ยังไม่สามารถวิ่งกลับเข้ามากรอบสามเหลี่ยมรูปธงขาขึ้นได้


    การที่แท่งเทียนเมื่อวันศุกร์ในดัชนี S&P 500 ไม่สามารถขึ้นยืนเหนือแท่งเทียนรูปแบบดาวตก (Shooting Star) ได้เป็นการยืนยันแนวต้านจากสามเหลี่ยมรูปธงไปในตัว ในขณะเดียวกันดัชนีวัดความผันผวน (VIX) ไม่สามารถวิ่งกลับเข้าไปปิดช่องว่างระหว่างราคา (gap) ที่เปิดมาตั้งแต่เดือนกันยายนได้อีกเลย

    ดัชนีวัดความผันผวนนี้คือตัวบ่งบอกที่ดีว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่เคยที่จะกลับมาเข้าใกล้ช่วงก่อนโควิดได้เลย

    กราฟที่ดูเหมือนว่าจะตอบสนองกับความหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุดคือกราฟผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ดีดตัวกลับขึ้นมาทันทีหลังจากร่วงลงเพราะข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ติดโควิด

    ถึงจะดีดตัวกลับขึ้นมาได้อย่างไร กราฟผลตอบแทนฯ ก็ยังคงวิ่งอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดในวันที่ 13 สิงหาคมซึ่งเป็นจุดสูงสุดเฉลี่ยของไหล่ซ้ายและส่วนหัวของรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) และรูปแบบนี้ก็ยังส่งผลอยู่กับกราฟให้นักลงทุนได้ลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่กราฟจะลงไปตามตำราที่เรียนมาเสียที ในขณะเดียวกันเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ก็ทำหน้าที่เป็นแนวรับรออยู่

    นอกจากกราฟผลตอบแทนแล้วดัชนีดอลลาร์สหรัฐก็ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน สกุลเงินดอลลาร์เปิดตลาดวันศุกร์ด้วยการร่วงลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลับขึ้นมาเพราะตัวเลขอัตราการว่างงานดีขึ้นและเริ่มยืนได้ในจุดที่ไม่ลงไปสร้างจุดต่ำสุดใหม่ต่ำกว่าเดิม

    จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นว่ากราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้เพราะราคาลงไปเจอกับเส้นแนวรับที่เกิดจากจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนสิงหาคมพอดี นอกจากนี้กราฟยังมีเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA มาช่วยรับอีกด้วย 

    เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้นคู่ปรับคนสำคัญอย่างราคาทองคำก็ต้องอ่อนมูลค่าลง

    จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่าราคาทองคำกำลังพยายามวิ่งกลับขึ้นไปหลังจากที่หลุดกรอบสามเหลี่ยมสมมาตรลงมาก่อนหน้านี้เพราะอย่างไรก็ตามแนวโน้มใหญ่ของราคาทองคำยังคงเป็นแนวโน้มขาขึ้น หากอาการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แย่ลงก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะดีดกลับขึ้นไปได้

    ราชาสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ปรับตัวลดลง 11% ในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมที่พึ่งเปิดมานี้บิทคอยน์ก็ได้หล่นลงมาอีก 1.8%

    กราฟบิทคอยน์กำลังสร้างรูปแบบหัวไหล่ทั้งระยะสั้นแล้วยาวในเวลาเดียวกันโดยมีเส้นค่าเฉลี่ย 100 DMA ทำหน้าที่เป็นแนวรับ หากว่ากราฟไม่สามารถทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ขึ้นมาได้และทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นลงมาก็มีโอกาสที่กราฟจะสามารถสร้างรูปแบบหัวไหล่ในภาพใหญ่ได้เสร็จและขาขึ้นต้องรอวัดอีกทีที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA ด้านล่าง

    ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกันจนสามารถลงมาถึงจุดต่ำสุดในรอบสามสัปดาห์ ตอนนี้กราฟมีราคาห่างจากจุดต่ำสุดเดือนพฤษภาคมเพียง 29 เซนต์เท่านั้น


    การร่วงลงมาของขาลงในวันศุกร์ถือเป็นการดับฝันของขาขึ้นสามเหลี่ยมรูปธง ยิ่งหากกราฟสามารถลงไปต่ำกว่า $36 ได้เมื่อไหร่จะยิ่งเป็นการยืนยันขาลงในราคาน้ำมันดิบว่ากลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

    ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)

    วันจันทร์

    04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคบริการ: คาดว่าจะลดลงจาก 55.1 เหลือ 55.0

    10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนี PMI ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตจาก ISM: คาดว่าจะลดลงจาก 56.9 เหลือ 56.3

    22:30 (ออสเตรเลีย) การประกาศอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางออสเตรเลีย: คาดว่าจะคงที่ 0.25%

    วันอังคาร

    08:00 (สหรัฐฯ) รายงานภาพรวมระยะสั้นของตลาดพลังงานจาก EIA: เป็นการประเมินภาพรวมระยะสั้นเป็นรายเดือน

    10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JLOT: คาดว่าจะลดลงจาก 6.618M เหลือ 6.000M

    วันพุธ

    10:00 (แคนาดา) ดัชนี PMI จาก IVEY: คาดว่าจะมีตัวเลขออกมาอยู่ที่ 67.8 ในเดือนสิงหาคม

    10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะลดลงจาก 1.980M เหลือ 1.569M

    14:00 (สหรัฐฯ) รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC)

    วันพฤหัสบดี

    07:30 (ยูโรโซน) แถลงการณ์เกี่ยวกับนโยบายการเงินจากธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB)

    08:30 (สหรัฐฯ) รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: สัปดาห์ที่แล้วมีตัวเลขออกมาที่ 837K

    19:50 (ญี่ปุ่น) รายงานตัวเลข GDP: ตัวเลขไตรมาสที่แล้วออกมาที่ -7.9%

    วันศุกร์

    02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าตัวเลขที่ออกมาจะลดลงจาก 6.6% เหลือ 5.7%

    02:00 (สหราชอาณาจักร) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงครึ่งหนึ่งจาก 6.3% เหลือ 3.0%

    08:30 (แคนาดา) รายงานตัวเลขอัตราการจ้างงาน: คาดว่าจะลดลงจาก 245.8K เหลือ 153.3K

     

     

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย