

โปรดลองค้นหาใหม่อีกครั้ง
เป็นคราวเคราะห์ของ (BK:TASCO)ที่ถูกทางสหรัฐฯ ขอร้องแกมบังคับให้หยุดสั่งน้ำมันจากเวเนซุเอลา ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปีนี้เป็นต้นไป ส่งผลกระทบให้ต้องหยุดโรงกลั่นที่มาเลเซีย ที่มีกำลังการผลิต 1-1.2 ล้านตัน และ 90% กลั่นน้ำมันดิบจากเวเนซุเอลา และคิดเป็นยอดขาย 50% ของ TASCO
บริษัทยื่นจดหมายให้นักลงทุนรู้เมื่อวันศุกร์ ให้เวลาทำใจเสาร์อาทิตย์ พอเปิดตลาดเช้ามา หุ้นร่วงติดฟลอร์ทันทีทั้งวันจันทร์และอังคาร ราคาล่าสุดอยู่ที่ 17.40 บาท พร้อม Offer ตั้งรออีกหลายสิบล้านหุ้น ที่พร้อมโยนขายได้ทุกเมื่อ
เรื่องนี้สอนอะไรให้กับเราบ้าง ผมมองแบบนี้ครับ
1.เส้นบางๆ ระหว่าง “ซวย” กับ “รวย”
คุยกับใครต่อใคร อ่านบทวิเคราะห์กี่เจ้าต่อกี่เจ้าก็บอกว่าปีนี้เป็นปีที่ดีของ TASCO ตัวเลขกำไรปีนี้จะดีมาก Spread ก็เพิ่ม ราคาน้ำมันก็ลง Demand ของทั้งในประเทศไทย เวียดนาม จีน ก็มากมาย กำไรเพิ่มขึ้นเห็นๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เรียกได้ว่า คนที่ซื้อหุ้นก่อนหน้านี้ต้องคิดว่า “รวย” เห็นๆ
แต่เมื่อถึงบทจะ “ซวย” ก็มาทีชุดใหญ่ แบบไม่ทันให้ตั้งตัว กระทบเข้าจุดกลางใจที่สำคัญของธุรกิจ ถึงแม้ว่ากำไรปีนี้จะไม่ถูกกระทบ แต่กำไรปีหน้ามีโอกาสหายไปมากมายมหาศาล
เพราะฉะนั้น อยากให้จำไว้ว่า การลงทุน ไม่มีคำว่า รวยแน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าจะซวยได้เมื่อไหร่
จงคาดหวัง สิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นทุกเมื่อ ให้ Expect the Unexpected เอาไว้เสมอ
2.หาจุดตายของหุ้นที่เรามีให้เจอ
โดยปกติ เรามักจะมองเห็นแต่ข้อดีของหุ้นที่เราชอบ หรือหุ้นที่เรามี เพราะเราอยากมั่นใจว่าคิดถูก เราอยากเห็นหุ้นขึ้น โดยที่บางครั้งก็มองข้ามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ จริงๆ เรื่องเวเนซุเอลา ไม่ใช่เรื่องใหม่ เรื่องคล้ายๆ แบบนี้นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ TASCO แต่เราก็อาจจะไม่ได้ระแวดระวังว่าจะเกิดขึ้นอีก หรืออย่างน้อยก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดตอนที่เรามีหุ้นอยู่
ประเด็นสำคัญคือ เราต้องมองหาทั้งตัวเร่งที่ทำให้หุ้นเติบโต ควบคู่ไปกับความเสี่ยงที่เป็นจุดตาย ที่จะทำให้หุ้นตัวนั้นพังไม่เป็นท่าได้เช่นกัน และต้องคิดไว้เสมอว่ามันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ รวมทั้งประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแบบ worst case scenario ว่าเรารับไหวมั้ย จะได้วางแผนรองรับได้อย่างทันท่วงที
3.ขายทันที เมื่อพื้นฐานเปลี่ยน
เราควรจะขายหุ้นเมื่อไหร่ดีนั้น ทำได้หลายกรณี เช่น เต็มมูลค่าแล้ว สตอรี่ชัดเจนรู้กันทั้งตลาด เจอตัวใหม่ที่ดีกว่า หรืออย่างในกรณีของ TASCO คือ พื้นฐานเปลี่ยน
ในกรณีแบบนี้ ถ้าเรามีหุ้นอยู่ และเราคิดว่าพื้นฐานเปลี่ยนอย่างชัดเจน ถ้าหาแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นราคาคงดีไม่เท่า แถมเอามากลั่นก็อาจจะได้ผลผลิตน้อยลงกว่าเดิม กระทบกับกำไรของบริษัทแบบชัดเจน และเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของบริษัท ราคาปิดเมื่อวันศุกร์ เกินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้าคิดแบบนี้ ก็ควรขายออกมาโดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ก็อาจจะมีบางคนคิดว่า เดี๋ยวรอนักวิเคราะห์ประชุมเช้าวันจันทร์ก่อน เผื่อว่าจะมีทางออกให้กับเรื่องนี้ ราคาหุ้นอาจจะไม่ลงมาก หรือคิดว่าต้นทุนที่มีไม่สูงมาก พอรับไหว ก็เลยรอ จนสุดท้ายไม่ได้ขายแม้ 2 ฟลอร์แล้วก็ตาม
4.หุ้นยิ่งผันผวน ยิ่งต้องมี upside ที่มากพอ
ขึ้นชื่อว่าหุ้น commodity มักจะมาพร้อมกับความผันผวนเสมอ เช่น ราคาวัตถุดิบขึ้นลง น้ำท่วม ภัยแล้ง โรคระบาด หรือแม้แต่ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งพร้อมจะพลิกจากภาพบวกอันสดใสให้กลายเป็นภาพลบอันมืดมิดได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะลงทุนหุ้นแบบนี้ เราต้องมองให้ออกว่า ต้องมี upside มากๆ เช่น 50-100% เพื่อที่ว่าทุนที่เราถือจะได้ต่ำพอ จนกระทั่งที่ว่า หุ้นร่วงติดฟลอร์ เราก็ยังไม่ขาดทุน
5.อย่ารับมีด ถ้ายังไม่เห็นว่าตกถึงพื้น
ในมุมของคนที่ไม่มีหุ้น เชื่อว่าต้องมีคนคิดว่า ลงมา 15% แล้ว 30% แล้ว ราคานี้ไม่เคยเห็นมานานมาก ขอลองซื้อซักหน่อย กะว่าเด้งซัก 3% 5% ก็จะขายแล้ว แต่ความจริงมันไม่เป็นแบบนั้น คนที่รับมาฟลอร์ที่ 1 มาคัทวันนี้ตอนฟลอร์ที่ 2 ส่วนคนที่เพิ่งซื้อวันนี้ก็เริ่มเสียวว่า พรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะเด้งหรือจะฟลอร์ หรือจะเข้าสูตรที่เค้าชอบพูดกันว่า 3 ฟลอร์ 1 ลิ่ง
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ามีดตกถึงพื้นแล้วหรือยัง
ถ้าเราดู IAA Consensus กรอบราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ให้ไว้คือ 12.40-16.25 บาท แปลว่าราคาตอนนี้ก็ยังสูงกว่ากรอบบนอยู่ดี หรือถ้าเราดูกราฟก็ยังไม่เห็นแรงเด้งกลับมาแต่อย่างใด
แต่ถ้าวันนึงที่ราคาลงไปจนถึงจุดที่เราคิดว่าน่าสนใจแล้ว สิ่งที่เราต้องตอบให้ได้ คือ เราจะรับมีดเพื่ออะไร
เพื่อเก็งกำไร เพื่อลงทุน เราเห็นภาพอะไรในอนาคตของหุ้นตัวนี้
เป็นกำลังใจให้ผู้ถือหุ้น TASCO และบริษัทผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้โดยเร็วครับ
ว่าแต่พรุ่งนี้จะฟลอร์ที่ 3 หรือจะกลับมาลิ่ง โปรดติดตาม
#TASCO #วิตามินหุ้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins-วิตามินหุ้น
Coordinated action • SET: คาด SETIndex เปิดตลาดสัปดาห์นี้ในโทนผ่อนคลาย รับข่าว ข้อตกลงการซื้อกิจการ Credit Suisse ของ UBS (รายละเอียดด้านล่าง) นอกจากนั้น...
การที่ธนาคารกลางสหรัฐ - สวิสฯ เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน ที่มีปัญหา ผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปช่วย หรือเป็นตัวกลางหาพันธมิตรเข้าไป ลงทุน...
หุ้นโรงงานกระดาษรายใหญ่ บริษัทลูกที่ SCC ถือหุ้น 72% ตามมาด้วยกองทุนทั้งในและต่างประเทศ Free Float จริงๆ ไม่เยอะ 26% แต่รายย่อยถือหุ้นเกือบ 50,000 คน...
คุณแน่ใจหรือว่าคุณต้องการบล็อก %USER_NAME%?
เมื่อทำการบล็อก คุณและ %USER_NAME% จะไม่สามารถเห็นโพสต์ของแต่ละฝ่ายบนเว็บไซต์ Investing.com ได้
%USER_NAME% ได้ถูกเพิ่มเข้าไปใน Block List ของคุณแล้ว
เนื่องจากคุณเพิ่งยกเลิกการบล็อกบุคคลนี้ คุณต้องรอ 48 ชั่วโมงก่อนการบล็อกอีกครั้ง
ฉันรู้สึกว่าความคิดเห็นนี้
ขอบคุณ!
รายงานของคุณได้ถูกส่งไปยังผู้ดูแลบอร์ดของเราเพื่อการทบทวน
แสดงความคิดเห็น
เราสนับสนุนให้ท่านได้ใช้ช่องทางการแสดงความคิดเห็นนี้เพื่อสื่อสารสัมพันธ์กับผู้ใช้เว็บไซต์อื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนในทัศนคติและสอบถามข้อสงสัยกับผู้เขียนและสอบถามซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ตามเพื่อให้การสื่อสารสัมพันธ์นี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยที่เราทุกคนต้องการและคาดหวังดังนี้กรุณาพึงระลึกในข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้:
ผู้ที่โพสต์เนื้อหาข้อความสแปมหรือใช้เว็บไซต์นี้ไปในทางผิดจะถูกลบรายชื่อทิ้งจากเว็บไซต์และถูกปิดกั้นการลงทะเบียนเป็นสมาชิกในอนาคตซึ่งเป็นไปตามดุลพินิจของเว็บไซต์ Investing.com