Event
► หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจวานี้ระบุว่าทาง ธปท. ได้ยืนยันถึงการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ที่มีการปรับลดเพดานดอกเบี้ยของสินเชื่อบัตรเครดิตจาก 18% เหลือ 16% สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีวงเงินหมุนเวียน (บัตรกดเงินสด) จาก 28% เหลือ 25% รวมถึงสินเชื่อ จำนำทะเบียนรถจาก 28% เหลือ 24% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2563 เป็นมาตรการที่มีผล “ถาวร” ไม่ใช่เพียง “ชั่วคราว” ส่วนมาตรการขั้นต่ำเช่นการให้บริษัทสามารถปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้น เป็นหนี้ระยะยาวและการลดอัตราการผ่อนชำระจะมีผลถึงช่วงสิ้นปี (ที่มา:https://www.prachachat.net/finance/news-500607)
Our Take
► เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการปรับลดเพดานดอกเบี้ยในหลายผลิตภัณฑ์ตามข่าวแม้ไม่ได้เป็นประเด็นใหม่แต่นักลงทุนทั่วไปบางส่วนอาจเข้าใจว่าการปรับลด เพดานดังกล่าวเป็นมาตรการชั่วคราว ทำให้คาดจะเกิดความกังวลเมื่อ ธปท. ยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นการถาวร กดดันบรรยากาศลงทุนในช่วงสั้น ทั้งนี้เราประเมินว่าการปรับลด เพดานดอกเบี้ยดังกล่าวจะมีผลต่อหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ภายใต้ Coverage ของเราดังนี้
► หุ้นกลุ่มสินเชื่อเพื่อการบริโภค ได้แก่ (BK:KTC) และ (BK:AEONTS)เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั้ง จากสินเชื่อบัตรเครดิตที่ส่วนใหญ่จะคิดดอกเบี้ยกับลูกหนี้ใกล้เคียงกับเพดานดอกเบี้ยเดิมที่ 18% อยู่แล้ว ทำให้เมื่อเพดานดอกเบี้ยต่ำลงจะกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยรับค่อนข้างมาก ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลคาดได้รับผลกระทบไม่มากเพราะคิดดอกเบี้ยใกล้เคียงกับเพดานดอกเบี้ยใหม่อยู่แล้ว อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมาเราได้ปรับลดประมาณการของทั้ง KTC และ AEONTS ให้สอดคล้องกับเพดานดอกเบี้ยใหม่ไปแล้ว
► หุ้นกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ได้แก่ SAWAD และ MTC คาดได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด โดย MTC มีการจัดเก็บดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราที่ต่ำกว่า 24% ส่วน SAWAD ได้รับผลกระทบ เฉพาะส่วนของสินเชื่อ Low Yield ที่มีการให้สินเชื่อผ่าน S2014 (เรียกเก็บดอกเบี้ยรวม ค่าธรรมเนียมราว 25%) แต่พอร์ต High Yield ที่เรียกเก็บดอกเบี้ยมากกว่า 24% (เพดานสูงสุด อยู่ที่ 36%) ทั้งในส่วนของ Car for Cash และ Land for Cash ที่ปล่อยสินเชื่อผ่านบริษัทย่อย BFIT ไม่ได้รับผลจากมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเป็นบริษัทเงินทุนที่ดำเนินงานภายใต้กฎหมาย คนละฉบับกับ Non-Bank รายอื่น ► หุ้นกลุ่มบริหารสินทรัพย์ อย่าง BAM ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากประเด็นดังกล่าว
► เราคงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่ม Finance“เท่ากับตลาด” โดยแม้เรามองว่าผลดำเนินงานจะเริ่ม ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ 3Q63 หลังผ่านพ้นช่วง Lock Down และการตั้งสำรองมีแนวโน้มเริ่มผ่อนคลายลง แต่กลับมีปัจจัยกดดันในช่วงกลาง-ยาว จากการเข้ามารุกตลาดสินเชื่อ Non-Bank ของ ธนาคารออมสินซึ่งมีข้อได้เปรียบในเรื่องต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่ามากและฐานลูกค้าธนาคารที่ใหญ่ซึ่งคาดจะเห็นแผนการตลาดของทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต, สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถของธนาคารออมสินภายใน 6 เดือนนับจากนี้ ส่งผลให้การแข่งขันในตลาด High Quality (Low Yield) มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เราจึงมองว่าผู้เล่นที่มีความสามารถในการแข่งขันใน ตลาด Mid to Low Quality (High Yield) อย่าง SAWAD (TP70) จะยังเป็นผู้เล่นที่สามารถ แข่งขันได้ในระยะยาว เนื่องจากมีความได้เปรียบในเรื่องความเร็วในการให้บริการและเกณฑ์ใน การพิจารณาสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากกว่า รวมถึงสามารถดำเนินธุรกิจ High Yield ได้ผ่าน BFIT ที่สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยได้สูงกว่า Non-Bank รายอื่น และคงแนะนำเป็น Top Pick ของ กลุ่ม Finance
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities