ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (BK:STANLY)
FY1Q20 ขาดทุน 184 ลบ. มากกว่าคาด 20% STANLY รายงานผลขาดทุนช่วง FY1Q20 (เม.ย.-มิ.ย.) ที่ 184 ลบ. จากที่มีกำไร 334 ลบ. ใน FY1Q19 และ 602 ลบ. ใน FY4Q19 (หากไม่รวมรายการพิเศษมีผล ขาดทุนจากการวัดมูลค่าอนุพันธ์ทางการเงินเข้ามา 2 ลบ. และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 5 ลบ. จะขาดทุนประมาณ 187 ลบ.) ผลขาดทุนที่ออกมาสูงกว่าที่ เราคาดไว้ 20% โดยสาเหตุคือรายได้อื่นที่เหลือเพียง 9 ลบ. (-74%YoY,- 59%QoQ) ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเหลือ 20 ลบ. (-75%YoY,-77%QoQ) ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผลประกอบการขาดทุนคือ การชะลอตัวของอุตสาหกรรมยาน ยนต์จากผลกระทบของการปิดโรงงาน ที่ทำให้ยอดผลิตรถยนต์ลดลง 70%YoY,66%QoQ (ส่วนรถจักรยานยนต์ลดลง 55%YoY,57%QoQ) โดยมี รายได้อยู่ที่ 1,719 ลบ. (-50%YoY,-56%QoQ) ผลขาดทุนขั้นต้น 4.3% จากที่มี กำไรขั้นต้น 15% ใน FY1Q19 และ 22% ใน FY4Q19 ค่าใช้จ่ายในการขายและ บริหารอยู่ที่161 ลบ. (-34%YoY, -28%QoQ)
ภาพรวมค่อยๆดีขึ้น- เราคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจะไม่ออกมาขาดทุน เหมือนในช่วง FY1Q20 อีกเนื่องจากตัวเลขการผลิตรถยนต์ค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากต่ำสุดในเดือนเม.ย. ขณะที่การจัดงาน Motor Show แม้ตัวเลขยอดจอง ในงานจะปรับตัวลดลงไปกว่า 51%YoY แต่เรามองว่าเป็นการกระตุ้นตลาดใน ประเทศให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย. ได้ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มการผลิตเห็น การปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวดังกล่าวจะยังไม่เท่ากับปีก่อน เนื่องจากภาพรวมยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID โดยการผลิตรถยนต์รวมทั้ง ปีทางสภาอุตสาหกรรมคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 1-1.3 ล้านคัน
ปรับกำไรปี 20 ลงอีกรอบ หลัง FY1Q20 ขาดทุนเกินคาด จากผลประกอบการในช่วง FY1Q20 ขาดทุนมากกว่าที่เราคาดไว้ 20% ทำให้เรา ปรับรายได้และกำไรสุทธิส าหรับ FY20 ลงอีกครั้ง 5% และ 36% มาอยู่ที่10,102 ลบ. (-33%YoY) และ 476 ลบ. (-76%YoY) ส่วนปี FY21 คาดว่าอุตสาหกรรมจะ ค่อยๆฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นคาดการผลิตรถยนต์รวมจะโตได้ ประมาณ 15% โดยคาดรายได้อยู่ที่ 11,607 ลบ. (+15%YoY) และกำไรสุทธิ 1,265 ลบ. (+166%YoY)
สำหรับคำแนะนำการลงทุน ผลประกอบการที่ออกมาขาดทุนไม่ใช่สิ่งที่เกินกว่าที่ เราคาดไว้ และมองว่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้วสำหรับปีนี้ ก่อนจะค่อยๆเห็นการฟื้นตัวได้ ขณะที่ในแง่ฐานะการเงินของ STANLY ยังถือว่าแข็งแกร่งโดย ณ สิ้นงวด FY1Q20 มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวมกันกว่า 4,300 ลบ. ขณะที่หนี้สิน รวมมีเพียง 2,200 ลบ. เราจึงยังคงคำแนะนำให้ “ทยอยซื้อ” ในช่วงที่ราคาอ่อน ตัวลงเช่นเดิม โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมได้ใหม่ที่ 165 บาท (10XPER’21E)
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th