ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (BK:STANLY)
คาด FY1Q20 โดน COVID กดดันให้ขาดทุน 153 ลบ. เราคาดว่าผลประกอบการในช่วง FY1Q20 (เม.ย.-มิ.ย.) จะมีผลขาดทุนเข้ามา ประมาณ 153 ลบ. จากที่มีกำไร 334 ลบ. ใน FY1Q19 และ 602 ลบ. ใน FY4Q19 สาเหตุหลักเกิดจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายมีการลดกำลังการผลิตจาก ผลกระทบของโรค COVID และทำให้ยอดผลิตรถยนต์ในช่วงดังกล่าวลดลงถึง 70%YoY,66%QoQ โดยเราคาดรายได้อยู่ที่ 1,880 ลบ. (-45%YoY,-52%QoQ) ลดลงน้อยกว่าอุตสาหกรรมเนื่องจากงานใหม่ของ STANLY มีมูลค่างานต่อชิ้นสูง กว่าเดิม
แต่ด้วยการที่ต้นทุนหลักไม่อาจปรับลดได้ทันกับรายได้ที่ลดลงทำให้ STANLY มีผลขาดทุนขั้นต้นประมาณ 5% จากที่มีกำไรขั้นต้น 15% ใน FY1Q19 และ 22% ใน FY4Q19 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 200 ลบ. (-19%YoY, - 10%QoQ) ทั้งนี้ผลขาดทุนดังกล่าวถือเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากที่เคยขาดทุน 367 ลบ. ในช่วง FY3Q11 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมที่เกิดขึ้น (แต่ถ้าไม่รวมรายการ พิเศษที่เกิดในช่วง FY3Q11 การขาดทุนในช่วง FY1Q20 จะเป็นการขาดทุนครั้งแรก)
FY2Q20 เริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับปกติ ส่วนโรงงานใหม่เสร็จตามกำหนด สำหรับแนวโน้มในช่วง FY2Q20 คาดว่าผลประกอบการจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ หลังจากผู้ผลิตรถยนต์ทยอยกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น แต่หากเทียบกับปีก่อน คาดว่าจะยังเห็นการปรับลดลงอยู่ แต่คาดว่าจะไม่ขาดทุนเหมือนช่วง FY1Q20 สำหรับการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 8 ยังคงเป็นไปตามกำหนดเดิมที่จะแล้วเสร็จ สมบูรณ์ในเดือน มี.ค. 21 และเริ่มรับรู้รายได้ในรอบปี 21 เข้ามาได้ ซึ่งคำสั่งซื้อจากลูกค้าในโรงงานดังกล่าว ณ ปัจจุบันยังคงเป็นไปตามแผนยังไม่มีการแจ้งเลื่อนแต่ อย่างใด
ปรับกำไรปี 20 ลง หลังแนวโน้ม FY1Q20 ออกมาขาดทุน จากการที่แนวโน้มในช่วง FY1Q20 มีโอกาสออกมาขาดทุน ขณะที่การฟื้นตัวในช่วง ที่เหลือของปีอาจจะไม่เร็วนัก (ทางสภาอุตสาหกรรมคาดการผลิตไว้ที่ไม่เกิน 1.4 ล้านคัน ลดลงกว่า 30%YoY) ทำให้เราปรับรายได้และกำไรสุทธิลง 16% และ 49% มาอยู่ที่ 10,639 ลบ. (-30%YoY) และ 743 ลบ. (-63%YoY) สำหรับคำแนะนำการลงทุน เราคาดว่าผลประกอบการในช่วง FY1Q20 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว
หลังจากนี้คาดว่าจะค่อยๆเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้ อีกทั้ง STANLY เป็น ผู้ประกอบการเกี่ยวกับชุดหลอดไฟที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในกลุ่ม และไม่ได้รับผลกระทบจากการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต อย่างไรก็ตามด้วย อุตสาหกรรมยานยนต์เองยังมีความเสี่ยงอยู่ที่หากมีการระบาดรอบ 2 และการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจที่อาจจะช้ากว่าที่เคยคาดไว้ ซึ่งจะกระทบกับปริมาณการผลิตให้ไม่ อาจจะเป็นไปตามเป้าได้ เราจึงแนะนำให้ “ทยอยซื้อ” ในช่วงที่ราคาอ่อนตัวลงแทน โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 173 บาท (10XPER’21E)
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ cgsec.co.th