รายงานกำไรสุทธิ 1Q63 ที่ 298 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 40% QoQ แต่สูงขึ้น 11% YoY และหากนับเฉพาะการดำเนินงานปกติ S รายงานขาดทุนที่ 251 ล้านบาท
ปรับลดคาดการณ์ยอดโอนลงจาก Backlog ที่เป็นส่วนของลูกค้าต่างชาติ และปรับลดรายได้กลุ่มโรงแรมลงจากการปิดบริการในเดือนเม.ย .-พ.ค. 2563
ปรับคาดการณ์ปี 2563 จากกำไรจากการดำเนินงานที่ 1.13 พันล้านบาท เป็นขาดทุนจากการดำเนินงานปกติที่ 518.6 ล้านบาท
เลื่อนการขายอาคาร Metropolis Bangkok เข้ากอง REIT จาก 2H63 ไปยังปี 2564 ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2564 เท่ากับ 2.24 บาท
1Q63 Earnings Review
S รายงานกำไรสุทธิ 1Q63 ที่ 298 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 40% QoQ แต่สูงขึ้น 11% YoY โดยที่การปรับตัวสูงขึ้น YoYมาจากการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนของ SHR จำนวน423 ล้านบาท และการ Mark to Market ของตราสารอนุพันธ์อีก115 ล้านบาท ดังนั้นหากนับเฉพาะการดำเนินการปกติ S รายงานขาดทุนที่ 251 ล้านบาทใน 1Q63 จากที่กำไร 269 ล้านบาทใน 1Q62 และกำไร 94 ล้านบาทใน 4Q62
รายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 752 ล้านบาทปรับตัวลลง 56% YoYจากการที่ลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาโอนกรรมสิทธิ์ห้องได้และการ Lockdown ในประเทศที่ทำให้ยอดโอนในช่วงเดือนมี.ค. 2563 อ่อนตัวลง
รายได้จากกลุ่มโรงแรมอยู่ที่ 1.14 พันล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 17% YoY เนื่องจากการเปิดให้บริการของโครงการ Crossroads เกาะ1 และเกาะ2 ที่ Maldives ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนก.ย. 2562 โดยกลุ่มโรงแรมของ S มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 80%ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.2563 ก่อนที่จะอ่อนตัวลงในเดือนมี.ค.2563 จากสถานการณ์ COVID-19
รายได้จากกลุ่มอาคารสำนักงานอยู่ที่ 234 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 41% YoY จากการรับรู้รายได้จากอาคาร Metropolis Bangkok ที่ S ได้ซื้อมาเมื่อเดือนม.ค. 2563 และมีอัตราการเช่าอยู่ที่ 97%
ระดับ Gross Margin เฉลี่ยใน 1Q63 อยู่ที่ 41% ปรับตัวลดลงจาก 43% ในช่วง 1Q62 เนื่องจากกลุ่มโครงการ Crossroads มีGross Margin ที่ต่ำกว่าโครงการอื่นๆจากที่อยู่ในช่วงเริ่มดำเนินงานใหม่และมีค่าใช้จ่ายสูง
ปรับลดคาดการณ์ลงจากผลกระทบอันยาวนานของ COVID-19
เราปรับลดกำไรปี 2563-2564 ลงจาก 1.35 พันล้านบาท เป็น 12 ล้านบาท และจาก 1.33 พันล้านบาท เป็น 147 ล้านบาท ตามลำดับ แต่หากพิจรณาเฉพาะผลการดำเนินงานปกติของปี 2563 คาดว่าจะขาดทุนที่ 538 ล้านบาท จากการปรับลดคาดการณ์รายได้จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมลง 38% และ 25.5% เป็น 3.56 พันล้านบาท และ 3.95
พันล้านบาทตามลำดับ โดยที่ในปี 2563 รายได้จากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะอ่อนแอลง เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศที่ราว 40% ของ Backlog ที่คาดว่าจะต้องชะลอการโอนไปก่อน จากการที่ลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางได้ และโครงการ Banyan Tree Residences ยังคงอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นโรงแรมสำหรับส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้ทำการขาย ส่งผลให้ไม่มี Backlog เพิ่มด้านธุรกิจโรงแรม คาดว่าโรงแรมที่ Maldives, Mauritius
และในประเทศไทย จะสามารถกลับมาให้บริการได้ราวเดือนก.ค. 2563 แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวคาดว่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียงก่อน ในขณะที่นักท่องเที่ยวที่มาจากเที่ยวบินที่ยาวกว่า 5 ชม.คาดว่าจะยังไม่กลับมาในปี 2563เราจึงได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลงจากเดิมที่ 60%
“ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2564 2.24 บาท
กราฟหุุ้น สิงห์ เอสเตท (BK:S) ( กดดูความเคลื่อนไหว )
เรายังคงแนะนำลงทุน “ซื้อ” และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่2.24 บาท (จากราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 2.15 บาทจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 0.86 บาท อิง P/E ที่ 7X และธุรกิจกลุ่มRecurring Income ที่ 1.29 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 14X) ด้วยวิธีSOTP จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 0.65 บาท อิง P/E ที่ 7Xและธุรกิจกลุ่ม Recurring Income ที่ 1.59 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 14X เท่าเดิม โดยที่เราคาดว่าในปี 2564 การฟื้นตัวของกลุ่มโรงแรมจะเห็นได้ชัดจากฐานที่ต่ำในปี 2563 ในขณะที่ยอดโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์อาจเติบโตติดลบที่15.8% YoY เนื่องจากในปี 2564 จะไม่มีโครงการใหม่เริ่มโอนแต่เนื่องจากเราคาดว่าเมื่อสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลงแล้ว กลุ่มโรงแรมจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
-
ความเสี่ยง : เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวและมาตรการ LTV ที่ชะลอการซื้อลง, การเมืองในต่างประเทศ, จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง, การระบาดของ COVID-19 ที่อาจยาวนานกว่าตลาดคาด, ความผันผวนของค่าเงิน และหุ้นกู้แปลงสภาพที่หากผู้ถือหน่วยทำการแปลงสภาพจากหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญในเดือนส.ค. 2565 จะส่งผลให้มีหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นอีก 1.25 พันล้านหุ้น หรือนับเป็น 15.98% ของจำนวนหุ้นจดทะเบียน
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities