ถ้าเปรียบตลาดการเงินเป็นทะเล
ช่วงนี้ก็เหมือนกับเวลาที่เราผ่านพายุใหญ่มาแล้วหนึ่งรอบ แม้ความเสี่ยงของพายุครั้งใหม่อาจมีไม่มากแล้ว แต่ท้องทะเลกลับไม่สงบ ความแปรปรวนของสินทรัพย์ในตลาดการเงินขึ้นลงแรงเหมือนระลอกคลื่นทั่วทั้งโลก และดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงใต้ท้องทะเลจะกลายเป็นปัญหาที่น่ากลัวมากขึ้นในครั้งนี้ เพราะคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่อย่าง “เงินดอลลาร์” กำลังเริ่มตั้งเค้าความเคลื่อนไหวที่ผันผวน
เห็นได้จากล่าสุด ที่ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลงมาแตะระดับ 97 จุด ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนวิกฤติโควิด หนุนให้เงินยูโรแข็งค่ากว่า 5% ในเดือนเดียว และเงินเอเชียก็ฟื้นตัวขึ้นมาแทบทุกสกุล นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทิศทางการ “อ่อนค่า” ของดอลลาร์ครั้งนี้ ดูจะต้องระวังมากกว่าที่คิด เพราะมีโอกาสที่ดอลลาร์จะดำดิ่งลงมากกว่าทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่อยู่ใต้แนวโน้มดูจะมีน้ำหนักมากเหลือเกิน
เริ่มต้นด้วยปัญหาการเมืองในสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติไปอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยกระแสการเมืองรอบนี้ สร้าง “แรงกระเพื่อม” สูงขึ้นเรื่อย ๆ
จากกระแสต่อต้านการใช้ความรุนแรงของตำรวจ ลุกลามไปเป็นการประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวทั่วทั้งสหรัฐ ขณะที่การรับมือของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็กลับทำให้คะแนนความนิยมของเขาตกต่ำลง
ถ้าเราวัดความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนความนิยม (Real Clear Politics Trump Job Poll Average) กับดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) จะเห็นว่าทั้งสองอย่างไปในทิศทางเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
และสำหรับเงินดอลลาร์ ช่วงที่เลวร้ายที่สุดของทรัมป์คือปลายปี 2017 ที่คะแนนความนิยมตกต่ำลงที่สุดเหลือเพียง 37% ในตอนนั้นดัชนีดอลลาร์ก็ดำดิ่งลงไปลึกที่สุดในช่วงการบริหารประเทศของทรัมป์ที่ 88 จุด
หมายความว่าการจะเห็นดอลลาร์อ่อนค่าเป็น 10% จากการเมืองครั้งนี้ดูจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถมองข้ามได้
ประเด็นต่อมาคือจังหวะของการใช้นโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งดอลลาร์มักเสียเปรียบเพราะเป็นสกุลเงินเริ่มต้น
จุดอ่อนนี้มาจากจุดแข็งของดอลลาร์เอง ซึ่งคือการเป็น “สกุลเงินหลักช่วงวิกฤติ” หมายความว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีวิกฤติเกิดขึ้น ทุกคนจะมีความต้องการที่จะถือดอลลาร์สูงกว่าความเป็นจริงเสมอ
แต่เมื่อวิกฤติดำเนินต่อไป หลายประเทศจะเริ่มตั้งตัวได้ และใช้นโยบายการคลังของตนเองส่งผลให้ปริมาณความต้องการสกุลเงินท้องถิ่นเพิ่มขึ้นแทนที่ และในที่สุดธนาคารกลางในประเทศก็จะทยอยคืนดอลลาร์ที่ไม่จำเป็นกลับให้ธนาคารกลางสหรัฐเมื่อวิกฤติคลี่คลาย เช่นเดียวกับ “น้ำมีขึ้นก็ต้องมีลง”
เปรียบเทียบกับช่วงปี 2008-2009 การปล่อยกู้ตรงผ่านธนาคารกลางจะมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสองถึงสามเดือนแรก หลังจากนั้นก็จะเริ่มลดลงส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่ากลับถึงกว่า 15% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ
นอกเหนือจากนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่สหรัฐเคยนำหน้าทั่วโลกด้วยเทคโนโลยี ก็กำลังจะถูกท้าทายด้วยวัฏจักรเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังวิกฤติ
แนวโน้มของการฟื้นตัวลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งในช่วงหลังวิกฤติปี 2000 และ 2008 นำไปสู่กระแสการลงทุนทั่วโลก และนักลงทุนย้ายเงินจากสหรัฐไปลงทุนตามที่ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูง เหมือน “กระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศทาง”
ประเด็นอยู่ที่ว่าการฟื้นตัวรอบนี้จะเกิดขึ้นนานแค่ไหน เพราะถ้าย้อนกลับไปหาความสัมพันธ์ของตลาดทุนกับเงินดอลลาร์ในช่วง 30ปีที่ผ่านมา โดยใช้การเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นโลกไม่รวมสหรัฐ (MSCI World excluded U.S.) กับดัชนี S&P 500 จะพบว่าไตรมาสที่หุ้นสหรัฐบวกน้อยกว่าทั่วโลก ดอลลาร์ก็จะอ่อนค่าลงเฉลี่ยราว 2% ไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นยิ่งปัญหาโควิดในสหรัฐจบช้าเท่าไหร่ หรือการเมืองในประเทศลากยาวแค่ไหน เงินดอลลาร์ก็มีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องนานเท่านั้น
โดยสรุป “การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์” ที่กำลังก่อตัวขึ้นทั้งจากแรงกระเพื่อมทางการเมือง ระดับความต้องการดอลลาร์ที่ลดลง และกระแสการลงทุนที่เปลี่ยนทิศ จึงควรเป็นประเด็นที่ทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุนต้องจับตา
และในตลาดการเงิน ก็ยิ่งต้องระวังเป็นสองเท่า เพราะแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์ มักเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของระเบียบใหม่ในตลาดการเงินโลก
โดยในอดีต แนวโน้มนี้เคยทำให้สหรัฐ ปราบญี่ปุ่นและเยอรมัน ผงาดขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกมาในทศวรรษ 1980s
ขณะเดียวกันก็เคยปลุกราคาน้ำมันให้ฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 20 กว่าดอลลาร์ ทะลุเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั่วโลกมาแล้วเช่นกันในช่วงปี 2000-2008
แม้ตอนนี้จะเป็นคลื่นใต้น้ำอยู่ แต่ด้วยเหตุผลทั้งหมด ชาวตลาดการเงินก็ควรรู้ให้ทันและเตรียมรับมือกับทิศทางการอ่อนค่าของดอลลาร์ครั้งนี้อย่างจริงจังได้แล้ว
ดูอัตราแลกเปลี่ยน
https://th.investing.com/currencies/
ติดตั้งข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนบนเว็บไซต์ของคุณ
https://th.investing.com/webmaster-tools/live-currency-cross-rates