- ตัวเลขการจ้างงานฯ เพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่งเหนือความคาดหมายและอัตราการว่างงานลดลง
- ดัชนี NASDAQ ขึ้นไปสร้างจุดสงสุดใหม่ตลอดกาลได้สำเร็จโดยมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นแกนนำ
- ราคาน้ำมันขึ้นมาเกือบถึง $40 แล้ว
- ทองคำร่วง
เป็นการปิดสัปดาห์แรกของการลงทุนในเดือนมิถุนายนอย่างคึกคักเลยทีเดียวเมื่อตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “นอนฟาร์ม (NFP)” ออกมาหักปากกาเซียนทิ้งกันทั่วหน้าด้วยตัวเลขการจ้างงานที่กลับมาเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนอีกเมื่อกราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในรอบ 11 สัปดาห์และราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมาเกือบถึง $40 ต่อบาร์เรลยิ่งทำให้นักลงทุนในตลาดมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถฟื้นตัวกลับมาแบบ V-Shape ได้จริงๆ
เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างน่ามหัศจรรย์หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป?
คงจะไม่ต้องถกเถียงกันอีกแล้วว่าขาขึ้นในครั้งนี้เป็นของจริงหรือไม่เพราะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของเดือนพฤศภาคมที่ออกมาหักปากกาเซียนแทบจะทุกสำนักด้วยตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านตำแหน่งแม้ว่าอัตราการว่างงานจะลดลงเหลือเพียง 13.3% ก็ตาม แต่ข้อมูลชุดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเชื่อได้ว่าพวกเขาอาจจะได้เห็นตลาดลงทุนสหรัฐฯ กลับไปยังที่ถูกที่ควรตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ภายในปีนี้
หากเป็นเมื่อก่อนในสมัยวิกฤตการเงินปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใช้เวลามากกว่า 30 ปีจึงจะกลับมาได้แต่ในปี 2020 ที่วิกฤตโควิดเข้ามาตลาดใช้เวลาเพียงเดือนเดียวในการฟื้นตัว นี่คือช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้ว่าวิชาประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เราเดินทางพลาดซ้ำรอยเดิมซึ่งครั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถรับมือได้เป็นอย่างดีด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เฟดพูดเองว่า “ไม่จำกัด”
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่เราอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าขาขึ้นครั้งนี้เป็นการขึ้นจากความเชื่อมั่นของตลาดเองเป็นส่วนใหญ่หรือเป็นการขึ้นเพราะภาครัฐหรือหน่วยงานที่รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้จงใจออกมาเรียกความเชื่อมั่นมากเกินไป เพราะหลังจากรายงานตัวเลขการจ้างงานฯ ไปเมื่อวันศุกร์ก็มีข่าวรายงานมาจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (Bureau of Labor Statistics) ได้ออกมายอมรับว่าอัตราว่างงานที่รัฐบาลประกาศออกมา 2 เดือนล่าสุดอาจไม่ตรงกับตัวเลขจริงโดยหากจะวัดตัวเลขจากการว่างงานจริงๆ อาจมีคนตกงานอยู่สูงถึง 16.3% ในเดือนพฤษภาคมนี้ เมื่อเทียบกับ 13.3% ที่รายงานออกมาเมื่อคืนวันศุกร์
แม้ตัวเลขที่ปรับแก้แล้วจะยังน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 19.7% แต่ก็สามารถทำให้นักลงทุนบางกลุ่มฉุกคิดและอาจรู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ หรือที่ตัวเลขทางการซึ่งเป็นหลักให้นักลงทุนทั่วโลกเชื่อถือมาโดยตลอดจะสามารถมามีข้อผิดพลาดได้ในช่วงวิกฤตแบบนี้ ถึงกระนั้นดัชนี NASDAQ ก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดเล็กน้อยนั้นมาก เพียงแค่รู้ว่าตัวเลขการจ้างงานฯ กลับมาเป็นบวกได้ NASDAQ ก็ทะยานขึ้นสร้างสุดสูงสุดใหม่ได้ก่อนปิดตลาดลงทุนในสัปดาห์ก่อน
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มองเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้เป็นทุ่งลาเวนเตอร์อย่างน้อยก็ตำนานนักลงทุนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ (NYSE:BRKa) หรือเทพเจ้าแห่งโอมาฮ่า (NYSE:ORCL) ที่ครั้งหนึ่งเคยพูดวลีเด็ดซึ่งกลายเป็นคำยอดฮิตในวงการนักลงทุนว่า “จงกลัวในขณะที่คนอื่นกำลังโลภและจงโลภในขณะที่คนอื่นกำลังกลัว” ครั้งนี้เขาขอใช้คำพูดนั้นกับตัวเองด้วยการปรับลดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวเมื่อเทียบกับทั้งพอร์ต (Exposure) จาก 55% เหลือ 25% โดยให้เหตุผลว่า “ราคาหุ้นตอนนี้แพงเกินไปและเศรษฐกิจยังถือว่าแย่”
ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 เมื่อวันศุกร์ปรับตัวสูงขึ้น 2.6% คิดเป็นการฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในวันที่ 23 มีนาคมแล้วทั้งสิ้น 42.75% เหลืออีกเพียง 6% เท่านั้นดัชนี S&P 500 ก็จะสามารถกลับขึ้นไปยังจุดสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ได้ ส่วนหนึ่งที่ตลาดหุ้นทำผลงานได้ดีนับตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมต้องยอมรับว่านักลงทุนตั้งความหวังกับข่าวการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัท Moderna (NASDAQ:MRNA) ไว้สูงมากจนสามารถทำให้ดัชนีหลักทั้ง 4 ปรับตัวขึ้น 3 สัปดาห์ติดได้นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2019
ปัจจุบันกราฟดัชนี S&P 500 กำลังปรับฐานอยู่ในรูปแบบสามเหลี่ยมปากกว้างซึ่งมักจะเกิดขึ้นในตลาดที่ยังไม่มีเทรนด์ใดเป็นเทรนด์หลักอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงยังไม่อาจพูดได้ว่าแนวโน้มใดคือผู้ชนะอย่างแท้จริงตราบใดที่เรายังไม่ได้เห็นกราฟสร้างรูปแบบจุดต่ำสุดที่สูงกว่าจุดต่ำสุดเดิม (Lower Lows) หรือจุดสูงสุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม (Higher Highs)
ดัชนีดาวโจนส์กระโดดขึ้นมา 3.1% ในสัปดาห์ที่แล้วคิดเป็นการปรับตัวขึ้นมา 45.8% จากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมและอยู่ห่างจากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์อยู่เพียง 9%
แม้จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้แต่ดัชนี NASDAQ กลับทำผลงานขาขึ้นได้น้อยกว่าดัชนีหลักอีก 3 ตัวโดยมีขาขึ้นเพียง 2.1% เท่านั้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กราฟมีราคาปิดห่างจากจุดปิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์เพียง 0.03% เท่านั้นหลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ หากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมจะพบว่า NASDAQ ปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 45.8% เท่ากันกับดัชนีดาวโจนส์พอดี
ขาขึ้นครั้งนี้ของ NASDAQ ค่อนข้างสร้างความกังวลให้กับเราเพราะที่ผ่านมาทุกครั้งที่ตลาดดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมักจะเกิดจากการเปลี่ยนกลุ่มผู้นำในตลาดใหม่ซึ่งครั้งล่าสุดก็คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ในครั้งนี้ผู้นำตลาดกลับมายังเป็นกลุ่มเดิมซึ่งหากเทคโนโลยีไม่ได้รุดหน้าไปไกลเท่ากับความคาดหวังที่มี กราฟอาจปรับตัวลดลงมาเมื่อไหร่ก็ได้
ดัชนี Russell 2000 ทำผลงานได้ดีทั้งในแง่ของขาขึ้นที่ฟื้นกลับมาโดยรวมและขาขึ้นก่อนปิดสัปดาห์ กราฟปรับตัวขึ้นมา 3.5% เมื่อวันศุกร์ที่แล้วและหากวัดจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมพบว่า Russell 2000 ทะยานขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 52.5% มีระยะห่างจากจุดปิดสูงสุดเมื่อวันที่ 16 มกราคมอยู่ที่ 13.3% ดัชนี Russell 2000 คือดัชนีเดียวที่สามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดได้สูงกว่าดัชนีอื่นๆ
กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีกระโดดขึ้น 6 จุดเบสิสขึ้นไปยังระดับราคา 0.89% สร้างขาขึ้นที่สูงที่สุดในรอบ 5 วัน ทำจุดสุงสุดใหม่ได้ในรอบ 11 สัปดาห์และเป็นระยะขาขึ้นติดต่อกันที่นานที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน
อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีของราคาพันธบัตรฯ อายุ 10 ปียังถือว่าวิเคราะห์ยากว่าแท้จริงแล้วขาขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อของนักลงทุนที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้นแล้วหรือเกิดจากนักลงทุนหันมาซื้อพันธบัตรฯ ระยะสั้นแต่ไปวางคำสั่งขายที่กราฟพันธบัตรฯ ระยะยาวแทน ต้องรอดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ สัปดาห์นี้ซึ่งคาดว่าเฟดน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ดังเดิม
ในทางเทคนิคนั้นกราฟพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีสามารถหลุดกรอบสามเหลี่ยมขึ้นมาได้แล้ว หากว่าขาขึ้นครั้งนี้เป็นของจริง กราฟจะต้องสามารถขึ้นไปถึงเทรนด์ไลน์ของกรอบราคาด้านบนได้
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ดีดกลับขึ้นมาและหยุดขาลง 6 วันติดต่อกันได้สำเร็จ สำหรับดัชนีดอลลาร์ตอนนี้มีแนวรับอยู่ที่ 95 และจากการที่กราฟอยู่ในโซน oversold ประกอบกับตัวเลข NFP ที่กลับมาอยู่ในแดนบวก เราอาจจะได้เห็นดัชนีดอลลาร์ฯ กลับขึ้นมาอีกครั้งในสัปดาห์นี้
ราคาทองคำถูกข่าวดีของตัวเลข NFP ผลักลงต่ำกว่า $1,700 แม้ข่าวดีนั้นจะทำให้ตลาดหุ้นและดัชนีดอลลาร์คึกคักแต่กลับทำให้ราคาทองคำร่วงลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน
ตอนนี้ราคาทองคำได้หลุดกรอบสามเหลี่ยมสมมาตรที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 เมษายนจนถึงวันที่ 14 พฤษภาคมออกมาแล้วซึ่งอาจจะนำไปสู่การล้มเหลวของรูปแบบสามเหลี่ยมสมมาตรที่มีภาพกว้างใหญ่กว่านั้นที่กำลังสร้างตัวอยู่ อย่างไรก็ตามรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ก่อนหน้านี้ของทองคำยังถือว่าอยู่ในการพิจารณา
นอกจากตลาดหุ้นและฟอเร็กซ์ที่ได้รับแรงหนุนจาก NFP แล้วตลาดน้ำมันดิบก็ขอปรับตัวขึ้นไม่น้อยหน้าตลาดทั้งสองบ้าง ราคาน้ำมันดิบ WTI สามารถขึ้นมาเกือบถึง $40 ได้สำเร็จหลังจากโอเปกและรัสเซียตกลงร่วมกันที่จะยืดระยะเวลาลดกำลังการผลิตฯ ออกไปอีก 1 เดือนและจะช่วยกันลดกำลังการผลิตฯ ร่วมกันให้ได้ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคพบว่าแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดน้ำมันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นมหาศาลมาก ภายในวันเดียวกราฟสามารถทะยานขึ้นไป 5.7% และมีราคาปิดอยู่ใกล้กับแนวต้านที่เกิดจากช่องว่างระหว่างราคา (gap) ด้านบนเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าขาขึ้นสามารถเข้ามายึดครองตลาดได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามบริเวณนี้มีความเสี่ยงที่ตลาดหมีจะสามารถขอเข้ามาสู้กับกระทิงได้ เพราะนอกจากจะยังไม่สามารถยืนเหนือ $40 ได้ กราฟยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA ที่ระดับราคา $45 เป็นไปได้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะมีนักลงทุนขาขึ้นตัดสินใจออกเพื่อทำกำไรไปแล้วตั้งแต่ราคาขึ้นมาเกือบถึง $40 และอาจจะออกอีกครั้งเมื่อราคาขึ้นไปถึง $45
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์นี้ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันอาทิตย์
19:50 (ญี่ปุ่น) - รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าตัวเลขจะดีขึ้นจาก -0.9% เป็น -0.5%
วันอังคาร
10:00 (สหรัฐฯ) - รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLT: คาดว่าจะลดลงจาก 6.191 ล้านตำแหน่งเหลือ 5.750 ล้านตำแหน่ง
วันพุธ
08:30 (สหรัฐฯ) - รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -0.4% เป็น -0.1%
10:30 (สหรัฐฯ) - รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -2.077 เป็น 3.038M
14:00 (สหรัฐฯ) - ผลการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED): คาดว่าจะคงที่ 0.25%
วันพฤหัสบดี
08:30 (สหรัฐฯ) - รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: คาดว่าในสัปดาห์นี้จะยื่นเอกสารขอรับสวัสดิการฯ เข้ามาอีก 1.5 ล้านคนซึ่งลดลงจากสัปดาห์ที่แล้วที่มียื่นเข้ามา 1.877 ล้านคน
08:30 (สหรัฐฯ) - ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI): คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -1.3% เป็น 0.1%
วันศุกร์
02:00 (สหราชอาณาจักร) - รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าจะลดลงจาก -5.8% เป็น -18.7% แบบเดือนต่อเดือนและคาดว่าแบบปีต่อปีจะลดลงจาก -5.7% เป็น -22.3%
02:00 (สหราชอาณาจักร) - รายงานตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงจาก -4.6% เป็น -15.0%