ดุลการค้า พ.ค. 63 ของจีนเป็นบวก 6.29 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเกินดุลจากสหรัฐฯ 2.79 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยยอดส่งออก -3.3% YoY ติดลบ น้อยกว่าคาดที่ -7% YoY ขณะที่ยอดนำเข้า -16.7% YoY แย่กว่าคาดที่ -10% YoY อย่างไรก็ตาม แม้ยอดนาเข้าของจีนที่ทรุดแรงจะเป็นลบต่อประเทศคู่ค้า และอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งกับสหรัฐฯอีกครั้ง แต่เราคาดว่า หลังจากนี้จะเห็นการนาเข้ามากขึ้น ด้วยเหตุผล
(1) การ Restock สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มอุตสาหกรรม สังเกตจากการฟื้นตัวเร็วของ PMI ภาคการผลิตจนกลับมายืนเหนือระดับ 50
(2) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อฟื้นฟูประเทศ
(3) แรงกดดันจากสหรัฐฯให้จีนเร่งนำเข้าสินค้าตามข้อตกลงเฟส 1 หุ้นที่เชื่อมโยงจีนจึงมีโอกาสกลับมาได้รับความน่าสนใจอีกครั้งโดยตัวที่ยังLaggard หรือพอ มี Upside ให้เก็งกำไรคือ SCC/ IRPC/ SGP/ CBG/ TKN/ PORT/ JWD/ PSL/ NER
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม (1) การประชุม FOMC ที่อาจกดดันให้Dollar Index อ่อนตัวลง และหนุนเงินหยวนแข็งค่าต่อเนื่อง และ (2) การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจจีน (ประจไำำเดือน พ.ค. 63) วันที่15 มิ.ย. 63 คาดว่าจะทำ ให้เห็นภาพการฟื้นตัวของจีนชัดเจนยิ่งขึ้น
จีนเกินดุลการค้ามากขึ้นจากการนำเข้าที่ทรุดหนัก ดุลการค้า พ.ค. 63 ของจีนเป็นบวก 6.29 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเกินดุลจากสหรัฐฯ 2.79 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นจากราว 2.3 หมื่นล้านดอล ล่าร์สหรัฐฯในเดือน เม.ย. 63) ยอดส่งออก -3.3% YoY ติดลบน้อยกว่าคาดที่ -7% YoY โดยมีแรงหนุนเล็กน้อยจากเงินหยวนที่อ่อนค่า การส่งออกสินค้าเวชภัณฑ์ และความต้องการ สินค้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน ขณะที่ ยอดนำเข้าทรุดแรงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันอีก - 16.7% YoY แย่กว่าคาดที่ -10% YoY จากการนำเข้าอะลูมีเนียม ทองแดง และถ่านหินที่ลดลง หักล้างกับการนำเข้าสินแร่เหล็กและน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
นำเข้าจีนทรุดแค่ชั่วคราว หลังจากนี้จะเร่งมากขึ้น สะท้อนจากการปล่อยหยวนแข็ง แม้ยอดนำเข้าของจีนที่ทรุดหนักจะเป็นลบต่อประเทศคู่ค้าและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เรา คาดว่าจะเห็นการเร่งตัวหลังจากนี้เพราะ
(1) การ Re-stock สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มอุตสาหกรรม หลังจีนเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ และเน้นกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาคครัวเรือน เพื่อให้อุปสงค์ในประเทศ ไปดึงให้ภาคการผลิตฟื้นตัว ซึ่งสะท้อนมายัง PMI ภาคการผลิตของจีนที่กลับมายืนเหนือ 50 ได้เป็นประเทศแรกในกลุ่ม G20
(2) จีนจะเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อฟื้นฟูประเทศ และสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยี ท้องถิ่นเพื่อให้เกิดการจ้างงานในเขตเมืองสำคัญกว่า 9 ล้านตำแหน่ง
(3) แรงกดดันจากสหรัฐฯเพื่อให้บรรลุข้อตกลงเฟส 1 หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศเร่ิมกลับเข้าสู่ระดับปกติ
(4) การปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยภูมภาคิ โดยเงนิหยวนที่ตลาด Onshore แข็งค่า 1% MTD และตลาด Offshore แข็งค่ากว่า 2% MTD เราประเมินว่าการตรึงให้เงินหยวนแข็งค่าระยะนี้ สะท้อนว่าจีนจะเร่งนำเข้าสินค้ามากขึ้นซึ่งถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อสินค้าโภคภัณฑ์ และบริษัทที่มีธุรกรรมเชื่อมโยงกับจีน
ราคาหุ้นเชื่อมโยงจีนแข็งแกร่งกว่าตลาด แต่ยังพอเหลือตัว Laggard ให้เก็งกำไร บริษัทในไทยที่มีธุรกรรมเชื่อมโยงกับจีนจะอยู่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี(BPP/ IVL/ PTTGC/ IRPC/ SGP/ EPG) สินค้าเกษตร(CPF/ GFPT/ TFG/ STA/ NER) อาหารและ เครื่องดื่ม(CBG/ TKN/ SAPPE) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์(DELTA/ HANA) วัสดุก่อสร้าง (SCC/ TASCO) และโลจิสติกส์(PORT/ JWD/ PSL) โดยตัวที่ยัง Laggard และพอมี Upside ให้เก็งก าไรคือ SCC/ IRPC/ SGP/ CBG/ TKN/ PORT/ JWD/ PSL/ NER
หลังจากนี้มีปัจจัยใดให้ลุ้น และอะไรคือความเสี่ยงที่ต้องระวัง ปัจจัยคาดหวังเชิงบวก
(1) การประชุม FOMC ที่อาจกดดันให้ Dollar Index อ่อนตัวลง และ หนุนเงินหยวนแข็งค่าต่อเนื่อง
และ (2) การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจจีน (ประจำเดือน พ.ค. 63) วันที่ 15 มิ.ย. 63 คาดว่าจะทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวของจีนชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัจจัยเสี่ยง
(1) สหรัฐฯกดดันจีนโดยการล้มดีลการค้าเฟส 1
(2) ประชุม FOMC ไม่มีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หนุน Dollar Index และกดดันเงินหยวนให้อ่อนค่าเร็ว
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities