รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

3 หุ้นดังน่าถือเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในช่วงภาวะถดถอยจากวิกฤตโรคระบาด

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 02/06/2563 18:02
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ท่ามกลางความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจทั้งวิกฤตโรคระบาด การประท้วง สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น แต่ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500 Index กลับสามารถยืนอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้เป็นระยะเวลา 2 เดือนล่าสุดติดต่อกัน

แม้นักลงทุนจะเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้นที่ดีแค่ไหนแต่หากมองออกไปข้างนอกหน้าต่างจะเห็นว่าภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้สว่างสดใสเหมือนกับไฟที่เปิดอยู่ในห้องแคบๆ โควิด-19 ยังคงเดินหน้าคร่าชีวิตผู้คนต่อไปในทุกๆ วันและมนุษยชาติก็ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกันตัวเองจากเจ้าไวรัสร้าย แม้จะมีมาตรการป้องกันด้วยการให้เว้นระยะห่างทางสังคมจริงจังและให้ร้านค้าในบางพื้นที่บางเมืองสามารถกลับมาเปิดกิจการได้ตามปกติ แต่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าตอนนี้อเมริกายังไงก็หนีวิกฤตการถดถอยทางเศรษฐกิจไม่พ้นแล้ว

ในฐานะนักลงทุนที่ต้องลงทุนท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมายขนาดนี้ การหลับหูหลับตาตามตลาดที่ไม่รู้จะขึ้นไปได้ถึงเมื่อไหร่อย่างเดียวไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง แต่นักลงทุนที่ดีจะต้องรู้จักปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการกระจายความเสี่ยงไปถือหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ โปรไฟล์ดี มีมูลค่าทางการตลาดสูงและในบทความนี้เรามีหุ้นจาก 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีมาให้พิจารณา

1. McDonald’s

แม้วิกฤตโควิด-19 จะสร้างผลกระทบกับสายพานการผลิตอาหารฟาสต์ฟู๊ดไปทั่วโลกและบริษัทแมคโดนัลด์ (NYSE:MCD) ก็ไม่อาจรอดพ้นที่จะต้องได้รับผลกระทบ แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแมคโดนัลด์สามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งMCD Weekly TTM

ในช่วงวิกฤตทางการเงินปี 2008-2009 บริษัทแมคโดนัลด์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทำผลงานได้ดีที่สุด อ้างอิงจากบริษัทผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับตลาดลงทุน Baird เผยว่าในครั้งนี้แมคโดนัลด์ก็จะสามารถเอาตัวรอดได้เช่นเคย

“แมคโดนัลด์เป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องทางการเงินรองรับอยู่แล้วเพราะบริษัทมีพื้นฐานทางการเงินตั้งอยู่บนการแก้ไขสถานการณ์ยอดขายตกต่ำและเงินฟืดในระยะสั้น จากผลงานการเอาตัวรอดที่บริษัทเคยทำได้ถือเป็นสิ่งยืนยันที่ทำให้่เราเชื่อว่าในวิกฤตครั้งนี้แมคโดนัลด์ก็จะสามารถผ่านไปได้เช่นกัน เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่ผมพูดภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 หรือปี 2021 ก็เป็นได้”

อีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เรามองว่าแมคโดนัลด์เป็นหุ้นน่าถือในระยะยาวเพราะบริษัทมีเสถียรภาพในการปันผลคืนสู่นักลงทุน ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมาแมคโดนัลด์ไม่เคยลดตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทลงเลย ปัจจุบันแมคโดนัลด์มีตัวเลขการปันผลต่อหุ้นในแต่ละไตรมาสอยู่ที่ $1.25 คิดเป็นเปอร์เซนต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 2.65%

แม้ในปัจจุบันหุ้นแมคโดนัลด์จะยังอยู่ห่างจากจุดสูงสุดก่อนปรับตัวลดลงมาเพราะโควิดมากกว่า 14% และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $187.41 แต่เพราะการลงมาครั้งนี้และยังปรับตัวขึ้นไม่มากนักทำให้แมคโดนัลด์ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

2. Walmart

หนึ่งในกลยุทธ์การป้องกันพอร์ตลงทุนให้สามารถมีอายุยืนยาวผ่านช่วงวิกฤตไปได้คือการเพิ่มหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่มนุษย์จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันเข้ามาในพอร์ตซึ่งหากพูดถึงเรื่องนี้จะมีใครเหมาะไปมากกว่าบริษัทวอลมาร์ท (NYSE:WMT) บริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาอีกแล้ว

ด้วยระบบบริหาร การจัดการภายในบริษัทที่ดีและมีมูลค่าทางการตลาดสูงทำให้วอลมาร์ทเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มป้องกันความเสี่ยงช่วงวิกฤตที่ดีและถูกจัดอันดับความเสี่ยงเอาไว้ที่ 0.43 (ถ้าหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องมีตัวเลขใกล้ 1 หรือสูงกว่าขึ้นไป) ทำให้หุ้นวอลมาร์ทถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปลอดภัยที่สุด WMT Weekly TTM

หลังจากที่หุ้นวอลมาร์ทขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ประมาณ $133 ในช่วงกลางเดือนเมษายน ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้หุ้นวอลมาร์ทปรับตัวลดลงมาและปัจจุบันมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $123.96 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 2020 อยู่ที่ 4%

ความสำเร็จในการใช้วิธีผสมการค้าปลีกทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันคือหลักฐานที่ทำให้บริษัทมีตัวเลขการรายงานผลประกอบการรอบล่าสุดดีเยี่ยม วอล์มาร์ทมีหน้าร้านที่ให้ประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบใหม่และออนไลน์ที่มีคลังสินค้ารองรับเพียงพอต่อความต้องการ 

ความสม่ำเสมอในการปันผลของหุ้นวอลมาร์ทคือผลพลอยได้ที่ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือในแง่ของการปันผลกำไรคืนสู่นักลงทุนไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางช่วงวิกฤตหรือไม่ก็ตาม ในช่วงต้นปี 2020 วอลมาร์ทประกาศเพิ่มเปอร์เซนต์เงินปันผลขึ้นเป็น 4% ทำให้ตัวเลขการปันผลกำไรต่อคนเพิ่มขึ้นเป็น $0.54 มีเปอร์เซนต์การปันผลในแต่ละไตรมาสอยู่ที่ 1.75% ตลอด 46 ปีที่ผ่านมาวอลมาร์ทปรับขึ้นตัวเลขการปันผลในทุกๆ ปี การเพิ่มเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอคือตัวบ่งชี้ที่ดีถึงโครงสร้างทางการเงินภายในบริษัทว่ามีสุขภาพทางการเงินดีเพียงใด

3. Microsoft

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) คือหุ้นในกลุ่มป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยตัวสุดท้ายที่เรานำเสนอ ไมโครซอฟท์แม้จะเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีที่อยู่มานานแต่ก็ยังเรียนรู้ที่จะสามารถพาตัวเองไปอยู่ในอนาคตก่อนบริษัทคู่แข่งคนอื่นๆ อยู่เสมอ ด้วยผลงานการเอาตัวรอดในเศรษฐกิจที่ดูแล้วยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมค์ทำให้ไมโครซอฟท์คือตัวเลือกที่ดีในขณะนี้MSFT Weekly TTM

เมื่อไมโครซอฟท์หันมาเน้นการลงทุนที่ระบบคลาวด์และการรองรับวงการเกมมากขึ้นทำให้ช่วงที่มนุษย์จำเป็นต้องทำงานอยู่ที่บ้านกลายเป็นช่วงนาทีทองของบริษัท นายสัตยา นาเดลลาผู้นำของไมโครซอฟท์คนปัจจุบันบอกกับนักวิเคราะห์ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า

“โควิด-19 สร้างผลกระทบให้กับวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษยชาติ สิ่งที่เราพยายามจะเปลี่ยนแปลงบริษัทในช่วง 2 ปีจนถึงปัจจุบันกำลังเห็นผลในช่วง 2 เดือนนี้ที่หลายๆ บริษัททั่วโลกจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง”

วิกฤตสุขภาพที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่เพิ่มยอดขายให้กับบริการของไมโครซอฟท์ทั้งในแง่ของฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ ล่าสุดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “Microsoft Teams” ที่อำนวยความสะดวกทั้งการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์และการส่งข้อความทำให้มียอดผู้ใช้งานรายวันมากถึง 75 ล้านคนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากช่วงต้นเดือนมีนาคม

ในแง่ของการปันผลไมโครซอฟท์ยังคงรักษาคำสัญญาปันผลให้กับนักลงทุนไม่มีตกหล่นแม้แต่เซนต์เดียว ตั้งแต่ปี 2004 ที่บริษัทเริ่มปันผลเป็นครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบันตอนนี้เปอร์เซนต์การปันผลเพิ่มสูงขึ้นเกิน 400% เข้าไปแล้ว อัตราการปันผลที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ขนาดนี้มีพื้นฐานมาจากฐานธุรกิจที่ดี ปัจจุบันไมโครซอฟท์มีการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.51 และมีเปอร์เซนต์การปันผลรายปีอยู่ที่ 1.12% มีราคาปิดของหุ้นเมื่อวานอยู่ที่ $182.83

โดยสรุปแล้ว

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย บริษัทที่ดีไม่ได้ตัดสินกันที่ใครสามารถทำกำไรได้มากกว่ากันแต่วัดกันที่ใครจะยังคงรักษาความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่ากันเพราะความสม่ำเสมอในการปันผลหมายความว่าบริษัทนั้นยังมีสภาพคล่องที่ดีและมีความผันผวนทางการเงินในบริษัทต่ำ

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย