Key takeaway
จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้เราสรุปประเด็นสำคัญ ได้ดังนี้
มุมมองด้าน ศก. ในประเทศ ผู้บริหารคาดยังค่อนข้างอ่อนแอ โดยประเมิน GDP ปี 2563 จะหดตัวราว 5.2%YoY หลังกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวถูกผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 กดดัน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนหายไปจนเกือบหมด อีกทั้งประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กันทำให้กดดันภาคส่งออก อย่างไรก็ดี ผู้บริหารมองว่าการใช้จ่ายจากภาครัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดแรงกดดันในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันยังมีช่องว่างในการดำเนินนโยบายกระตุ้น ศก. ได้อีกมาก เพราะไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP เพียง 42% ต่ำกว่าเพดานที่ 60% ส่วนนโยบายการเงินคาด ธปท. จะชะลอการลดดอกเบี้ยออกไปก่อน แต่จะหันมาใช้เครื่องมือช่วยเหลือแบบอื่นมากขึ้น เหมือนกับที่ออกมาตรการผ่อนปรนการตกชั้นของลูกหนี้และมาตรการพักชำระหนี้ทำให้คาด ในช่วง 2Q-3Q63 ดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ 0.75%
สำหรับเป้าหมายทางการเงินของปี 2563 ผู้บริหารระบุว่า
1) คงเป้า Loan Growth ที่ +3-4%YoY หนุนด้วยสินเชื่อ Soft Loan และสินเชื่อภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น หลังสภาพคล่องใน ตลาดตราสารหนี้ลดลง กดดันให้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ต้องหันมาใช้สินเชื่อจากแบงก์มากขึ้น
2) NIM อาจปรับลง 0.2-0.3% จากช่วง 1Q63 ที่ 2.4% เพราะมีผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย MLR และ MRR ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา
3) NonNII คาดหดตัว 2%YoY หลังใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ทำให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อลดลงมาก บวกกับกิจกรรมการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ดำเนินผ่านสาขาลดลง ในช่วงปิดเมืองปิดห้าง และ
4) Expected Credit Loss หรือการตั้งสำรองหนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดหาก COVID-19 กลับมารุนแรงขึ้น โดย Worst Case (เกิดการปิ้ดเมืองขึ้นอีกครั้งในกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ) คาด ECL อาจเพิ่มเป็น 20,000 ลบ. ส่วน Base Case คาด ECL ทั้งปี อยู่ที่ 15,000 ลบ. ใกล้เคียงประมาณการของเรา
ความคืบหน้าดีล Permata ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก OJK (หน่วยงานกำกับ ดูแลสถาบันการเงินของอินโดนีเซีย) หากได้รับการอนุมัติ BBL จะสามารถปิดดีลได้ทันที และได้รับราคาซื้อที่ต่ำลงตามข้อตกลงใหม่กับผู้ถือหุ้นของ Permataจากราคาที่ PBV 1.77x เหลือ 1.63x ของ Book Value ของ Permataในเดือน มี.ค. พร้อมคงมุมมองเชิงบวกต่อดีล ดังกล่าว เนื่องจากคาดจะเกิด Synergy ในระยะยาว ทั้งการขยายตลาดในอินโดนีเซียซึ่งมี ศักยภาพในการเติบโตสูงได้สะดวกมากขึ้น รวมทั้ง Permata มีเทคโนโลยีที่ค่อนข้างโดดเด่น ในตลาดรายย่อย ทำให้ BBL สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาการให้บริการที่ดีขึ้นได้
Our Take
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อ BBL โดยคาดเริ่มเห็นการฟื้นตัวของผลดำเนินงานในช่วง 2H63 ซึ่ง จะเริ่มรับรู้งบการเงินของ Permata เข้ามาในงบการเงินรวม (ปัจจุบันผู้บริหาร BBL ไม่มีแผน ที่จะยกเลิกดีลดังกล่าว) อีกทั้งด้วยจุดเด่นของ BBL ที่มีสัดส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจสูงถึง 43% ของพอร์ตและให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับหลายบริษัท จะทำให้ BBL เป็นผู้ได้ประโยชน์มากสุดในกลุ่ม จากการที่ภาคธุรกิจหันมาใช้สินเชื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงที่เกิดปัญหาในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ทำให้เรายังคงคาดปี 2563 BBL จะมีกำไรสุทธิ 34,390 ลบ. หดตัว 4%YoY ตามประมาณการเดิม
เราชอบ BBL เนื่องจากบริษัทมีข้อได้เปรียบจากการเร่งตั้งสำรองมาหลายปีจนปัจจุบันมี Coverage Ratio ที่ 204% ทำให้มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งราคา ปัจจุบันมี Upside 54.2% จากมูลค่าพื้นฐานที่ 150 บาท และคาดให้ Div. Yield อีก 6.7% จึงคงแนะนำ “ซื้อ”
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities
ดูกราฟและความเคลื่อนไหวของหุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BK:BBL)
https://th.investing.com/equities/bangkok-bank
ดูกราฟและความเคลื่อนไหวของดัชนี SET INDEX
https://th.investing.com/indices/thailand-set