ตลาดการเงินสหรัฐพลิกกลับไปปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 4.4% พร้อมกับบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปี ที่ปรับลดลง 9.3bps มาที่ 0.58% ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในประวัติการที่เคยทำไว้ในวันที่ 9 มีนาคม 2020 ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน (3.5%) และทองคำ (0.9%)
ขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐก็อยู่ในภาวะเปราะบาง ล่าสุดการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Employment) ปรับตัวลดลง 2.7 หมื่นตำแหน่ง ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ก็ปรับตัวลงสู่ภาวะทดถอย ด้วยแรงกดดันจากการสั่งซื้อสินค้า และราคาสินค้าที่ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (Initial Jobless Claims) ก็ยังเพิ่มขึ้นในระดับสูงที่ 3.7 ล้านตำแหน่ง ซึ่งอาจส่งผลให้จำนวนผู้รับสวัสดิการต่อเนื่องอาจพุ่งขึ้นสูงถึงกว่า 8 ล้านตำแหน่งในสัปดาห์หน้า คิดเป็นการว่างานชั่วคราวถึง 15% ซึ่งมากกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008
ฝั่งของตลาดเงินพบว่าดัชนีดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวในกรอบ 98-100จุด แม้ภาพความเสี่ยงในตลาดทุนที่สูงขึ้นจะหนุนให้เงินเยน (JPY) แข็งค่า แต่การระบาดของไวรัสในฝั่งยุโรป กลับมาเป็นปัจจัยกดดันให้บอนด์ยีลด์อิตาลีปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับยีลด์เยอรมัน กดดันให้เงินยูโร (EUR) ที่คิดเป็นกว่า 56% ของดัชนีอ่อนค่าลง
ทั้งหมดส่งผลให้เงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าได้ต่อเนื่อง แม้เงินบาทจะไม่ใช่สมรภูมิหลักของตลาดการเงินในรอบนี้ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วทั้งโลกเช่นเดียวกัน คุณจากต้นปีมาจนถึงปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าไปแล้วถึง 9.5% ขณะที่ความผันผวนก็ขยับขึ้นมาที่ระดับ 7% จากช่วงต้นปีที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 4%
มองว่าจุดต่อไปที่ต้องจับตานอกจากทิศทางของตลาดทุนก็คือแนวโน้มการระบาดของไวรัสในฝั่งตะวันตกที่ต้องเทียบรายวันว่าระหว่างอเมริกาและยุโรป ฝั่งไหนจะควบคุมการระบาดได้ก่อนกัน