- S&P 500, Russell 2000 ปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม
- ราคาขายพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลลดลงสู่จุดต่ำสุดในรอบสามเดือน
- แม้ว่าข่าวการระบาดของโคโรน่าจะไม่กระทบต่อตลาดลงทุนแล้วแต่ผลกระทบอาจทำให้ตลาดลงทุนต้องปรับฐานไปอีกสักระยะ
ในสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นได้รับผลกระทบเชิงลบเป็นอย่างมากจากการที่นักลงทุนพากันเทขายเพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งในขณะเดียวกันความกลัวนี้ทำให้สินทรัพย์สำรองมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันเช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในขณะที่ราคาขายพันธบัตร สกุลเงินเยน และราคาทองคำต่างพากันปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลล่าร์
อย่างไรก็ตามเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่เข้ามาในจังหวะนี้เป็นตัวกระตุ้นที่ช่วยทำให้แรงขายมีกำลังมากขึ้นในการหยุดความร้อนแรงของตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2020 จากการแพร่ระบาดครั้งก่อนๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนโลกจะพบว่ายังไม่มีสักครั้งที่การแพร่ระบาดของโรคใดๆ ก็ตามสร้างมูลค่าความเสียหายให้กับตลาดหุ้นอย่างจังๆ มากที่สุดที่ทำได้คือทำให้แนวโน้มขาขึ้นชะลอตัวลง
ดังนั้นในครั้งนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าจึงเป็นเหมือนการเปิดโอกาสให้ราคาได้พักจากแนวโน้มขาขึ้นระยะยาวบ้างเท่านั้น
Russell 2000 ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจากการประกาศของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ อย่างดาวโจนส์ S&P 500 แนสแด็กและ Russell 2000 ต่างพากันปรับตัวลดลงโดย S&P 500 และ Russell 2000 เป็นสองดัชนีที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด
ดัชนีแนสแด็กปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา 1.49% ถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมปี 2019 ซึ่งในตอนนั้นปรับตัวลดลง 1.97%
โดยปกติแล้วเมื่อเกิดปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ขึ้น ตลาดหุ้นภายในประเทศมักจะเป็นตลาดที่ได้รับผลประโยชน์แต่ในครั้งนี้หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ได้ออกมายืนยันถึงผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสองคนในประเทศกลับส่งผลในแง่ลบ นักลงทุนเกิดความวิตกและเป็นกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจจึงทำให้ดัชนีต่างๆ พากันปรับตัวลดลงมา
ในระหว่างที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงเปิดอยู่เมื่อวันศุกร์ กราฟ Russell 2000 มีแท่งเทียนเกือบทั้งแท่งปรากฏอยู่ใต้เส้นแนวโน้มขาขึ้นซึ่งลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของกราฟในเดือนตุลาคม จากพฤติกรรมของราคาในตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดรูปแบบหัวไหล่ของขาลง (Head & Shoulder)
อินดิเคเตอร์ทั้ง MACD และ RSI ต่างให้สัญญาณของแนวโน้มขาลงแล้วทั้งคู่ซึ่งจะยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนขึ้นเมื่อ MACD สามารถทะลุลงมาต่ำกว่าระดับ 10 ซึ่งเป็นแนวรับที่มีมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนได้
การที่ผู้คนแห่เข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรฯ 10 ปีลดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน อัตราผลตอบแทนฯ ปรับตัวลดลงมายังจุดต่ำสุดของราคาในรอบสามเดือนซึ่งอยู่ต่ำกว่ากรอบราคาขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาเมื่อวันที่ 3 กันยายนและลงมาทดสอบแนวรับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งแนวรับนี้อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกับเส้นแนวโน้มขาลงที่เคยถูกเจาะขึ้นมาแล้วซึ่งลากมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2018
การเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย จากกราฟแสดงให้เห็นว่าราคายังคงอยู่ในกรอบขาขึ้นต่อไปซึ่งกรอบนี้ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาในวันที่ 31 ธันวาคมและราคายังสามารถทะลุเส้นแนวโน้มขาลงที่ลากมาตั้งแต่จุดสูงสุดของวันที่ 1 ตุลาคมได้ด้วย
กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถทะลุแนวต้านที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA ขึ้นมาช่วยให้อินดิเคเตอร์อย่าง MACD และ RSI สามารถทะลุแนวต้านของตนเองขึ้นมาได้ ตอนนี้กราฟกำลังทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 100 DMA ซึ่งถือเป็นปราการด่านสุดท้ายของแนวโน้มขาลง อย่างไรก็ตามเราจะยังไม่ถือว่ากราฟเปลี่ยนแนวโน้มจนกว่าจะเกิดแท่งเทียนรูปแบบ peaks and troughs 2 แท่งขึ้นไป
แม้ว่าดัชนีวัดมูลค่าดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นแต่กราฟ USD/JPY กลับปรับตัวลดลงเป้นวันที่ 4 ติดต่อกันโดยกราฟในตอนนี้กำลังทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ซึ่งเป็นแนวรับด่านแรกอยู่ อินดิเคเตอร์ MACD แสดงสัญญาณขาลงเช่นกัน ถ้ามองอีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสที่ดีที่ราคาจะได้ลงมาทดสอบเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่จุดต่ำสุดของราคาในวันที่ 26 สิงหาคม
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่แล้วแต่แรงขาขึ้นของทองคำก็ถูกทำให้ชะลอลงด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลของผู้คน อย่างไรก็ตามราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้
แม้ว่าในช่วงระยะหลังราคาบิทคอยน์จะสามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้ แต่ในภาพรวมใหญ่ก็ยังถือว่าอยู่ในแนวโน้มขาลงอยู่ กราฟบิทคอยน์สามารถทะลุเส้นแนวโน้มขาลงที่ลากมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนได้และตอนนี้ราคาก็กำลังทดสอบแนวต้าน 200DMA และอยู่ในรูปแบบธงลู่ลงอยู่ (Falling Flag) ที่สำคัญคือตอนนี้ต้องจับตาดูอินดิเคเตอร์อย่าง MACD และ RSI ซึ่ง MACD กำลังหักหัวลงมาแล้วและ RSI แม้จะลดลงมาต่ำกว่าเส้นแนวโน้มแต่ก็ต้องรอดูว่าจะสามารถวงกลับขึ้นไปได้หรือไม่
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงมามากที่สุดของราคาน้ำมันในปีนี้ จากปัญหาของเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกลดความต้องการเดินทางลงและมุมมองในเชิงบวกที่มีต่อราคาน้ำมันมากเกินไป ในทางเทคนิคแล้วกราฟราคาน้ำมันดิบสามารถวิ่งขึ้นไปถึงเป้าหมายของราคาตามที่เราได้วิเคราะห์ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแล้ว แต่ RSI ของน้ำมันดิบ WTI ที่อยู่ในโซน oversold อาจจะกำลังบ่งบอกว่า WTI พร้อมแล้วที่จะกลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์
เวลาในข่าวคิดตามเวลา EST
วันจันทร์
04:00 (เยอรมัน) ดัชนีวัดบรรยากาศทางธุรกิจจาก Ifo: คาดว่าจะปรับตัวขึ้นจาก 96.3 เป็น 97.0
10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่: คาดว่าจะปรับตัวขึ้นจาก 719K เป็น 730K
วันอังคาร
08:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน: อาจปรับตัวขึ้นจาก -0.1% ขึ้นเป็น 0.2%
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก CB: อาจปรับตัวขึ้นจาก 126.5 เป็น 128.0
19:30 (ออสเตรเลีย) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): คาดว่าจะมีตัวเลขแบบไตรมาสต่อไตรมาสสูงขึ้นจาก 0.5% เป็น 0.6%
วันพุธ
10:00 (สหรัฐฯ) ตัวเลขยอดขายบ้านที่รอการปิดขาย: คาดว่าจะลดลงจาก 1.2% เหลือ 0.5%
10:30 (สหรัฐฯ) ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ตัวเลขในคราวที่แล้วแสดงให้เห็นปริมาณที่ลดลง -0.450M
14:00 (สหรัฐฯ) การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 1.75%
วันพฤหัสบดี
03:55 (เยอรมัน) ตัวเลขอัตราการว่างงาน: คาดว่าจะลดลงจาก 8K ในเดือนธันวาคมเหลือ 3K ในเดือนมกราคม
07:00 (สหราชอาณาจักร) ผลการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางอังกฤษ: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 0.75%
07:30 (สหราชอาณาจักร) คำแถลงการณ์จากประธานธนาคารกลางอังกฤษนายคาร์นีย์: คำแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายในฐานะประธานธนาคารกลางฯ ของเขา
08:30 (สหรัฐฯ) ตัวเลข GDP: คงที่อยู่ที่ 2.1% (แบบไตรมาสต่อไตรมาส)
20:00 (ประเทศจีน) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต: คาดว่าจะยืดตัวเลขการลดกำลังการผลิตลงจาก 50.2 ในเดือนธันวาคมเป็น 50.0
วันศุกร์
05:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): อาจปรับตัวสูงขึ้นจาก 1.3% เป็น 1.4%
08:30 (แคนาดา) ตัวเลข GDP: อาจปรับตัวสูงขึ้นจาก -0.1% ในเดือนตุลาคมขึ้นมาเป็น 0.1 ในเดือนพฤศจิกายน