หุ้นของบริษัท บียอนด์ มีท (NASDAQ:BYND) กำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหลังจากที่ปีที่แล้วต้องอยู่ในตลาดขาลงมาตลอดทั้งปี นับตั้งแต่เปลี่ยนศักราชเป็น 2020 เพียงสองอาทิตย์หุ้นของบริษัทก็สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากถึง 60%
การปรับตัวขึ้นมาครั้งสุดท้ายของหุ้นบียอนด์ มีทต้อนย้อนกลับไปในสมัยที่บริษัท El Segundo ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชแต่มีรสชาติคล้ายคลึงกับการบริโภคเนื้อสัตว์
นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อหุ้นของบริษัทบียอนด์ มีท มากขึ้นในวันอังคารที่ผ่านมาหลังจากที่ CEO นายเซท โกลด์แมนออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขามีแผนที่จะขยายธุรกิจเข้าไปในประเทศจีน “แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ประกาศอะไร แต่เรามีแผนที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่น่าตื่นเต้นแน่นอน”
อ้างอิงจากคำพูดของ CEO บริษัทยอดขายของผลิตภัณฑ์โปรตีนที่ทำจากพืชอาจปรับตัวสูงขึ้นเป็น 13% ของยอดขายจากซุปเปอร์มาร์เก็ตในทศวรรษนี้และการที่จะทำให้ยอดขายสามารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 13% ได้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดตลาดใหม่ในต่างประเทศ ด้วยข่าวนี้ทำให้หุ้น BYND ปรับตัวสูงขึ้นในวันอังคารทีเดียว 17% ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดไว้ที่ $134.78 ก่อนที่จะมีจุดปิดของวันอยู่ที่ $117.05 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมา 2.4%
ที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทบียอนด์ มีทมีการผันผวนของราคาอยู่ตลอดนับตั้งแต่วันที่เปิดตัว IPO ของบริษัทในเดือนพฤษภาคมที่ $25 ต่อหุ้น แม้ว่าในปีนี้การวิ่งของหุ้นบริษัทจะสามารถสร้างความประทับใจได้แต่ในปีที่แล้วก็ต้องยอมรับว่าหุ้นบียอนด์ มีทปรับตัวลงมามากถึง 40% จากจุดสูงสุดของราคาในเดือนกรกฎาคมปี 2019
เมื่อเดือนธันวาคมหุ้นของบริษัทบียอนด์ มีทได้ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่บริษัทเจ้าของธุรกิจฟาสต์ฟู๊ดชื่อดังแมคโดนัลด์ (NYSE:MCD) ได้ออกมาบอกว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทบียอนด์ มีทได้ทำให้รสชาติอาหารฟาสต์ฟู๊ดที่แคนาดามีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ ในขณะที่บริษัทดังกิ้นโดนัท (NASDAQ:DNKN) ได้ทำการโปรโมทแซนวิชไส้กรอกที่ทำจากผลิตภัณฑ์ของบียอนด์ มีทโดยมี Snoop Dogg นักร้องชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้
ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ผลงานการทะยานขึ้นของหุ้นบียอนด์ มีทนอกจากจะทำให้นักลงทุนสนใจแล้วยังสร้างคำถามให้กับนักลงทุนบางกลุ่มเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่ดูแล้วจะขึ้นมาสูงจนน่าแปลกใจ การปรับตัวขึ้นมาครั้งนี้ของหุ้นบริษัททำให้บียอนด์ มีททำกำไรไปได้มากกว่า $7,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปอยู่ในลีกการแข่งขันเดียวกันบริษัทที่สามารถสร้างผลกำไรในระดับพันล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย
ถ้าพูดถึงเฉพาะบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเนื้อในสหรัฐอเมริกาก็ต้องนึกถึงบริษัทไทสัน ฟู๊ด (NYSE:TSN) ที่มีมูลค่ารวมในตลาดทั้งหมดอยู่ที่ $33,760 ล้านเหรียญสหรัฐและคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปีนี้ได้ $43,000 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่หุ้นบียอนด์ก่อนที่มีทจะปรับตัวขึ้นบริษัทยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มบริษัทที่คาดว่าจะมีการเติบโตทางยอดขายในระยะเวลา 12 เดือน แต่บียอนด์ มีทกลับมาผลงานที่โดดเด่นที่สุดเฉพาะบริษัทในกลุ่มนี้เท่านั้น
จริงอยู่ว่าการเปรียบเทียบบริษัทบียอนด์ มีทกับไทสัน ฟู๊ดดูเหมือนจะเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่เพียงแต่ว่าเราต้องการชี้ให้นักลงทุนเห็นถึงความเสี่ยงหากคิดจะเข้าซื้อเพียงเพราะหุ้นบียอนด์ มีททะยานขึ้นมาเหมือนจรวด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่หุ้นบียอนด์ มีทปรับตัวสูงขึ้นได้ส่งผลให้บริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันต้องการเข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้นยกตัวอย่างเช่นบริษัท เนสท์เล่ (SIX:NESN) ในเดือนพฤศจิกายนที่มีการปล่อยผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เป็นเบอร์เกอร์ที่เนื้อทำจากพืชและบริษัทโครเกอร์ (NYSE:KR) ที่เป็นเจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีสาขามากที่สุดในอเมริกาก็ขอเข้ามาเล่นเกมนี้ผ่านบริษัทลูกแบรนด์ Simple Truth
โดยสรุปแล้ว…
จริงอยู่ที่ว่าผลงานของหุ้นบียอนด์ มีท ทำให้นักลงทุนหันกลับมาสนใจวงการเนื้อเสมือนที่ทำมาจากพืชแต่บริษัทก็ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางธุรกิจรายอื่นๆ อีกมากมาย เราจึงไม่ปักใจเชื่อว่าบียอนด์ มีทจะกลายมาเป็นอันดับหนึ่งในแวดวงธุรกิจนี้ได้ในเร็ววัน ดังนั้นนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทนี้อยู่จึงไม่ควรประมาทและได้ใจกับการปรับตัวขึ้นรอบนี้นัก