Weekly Investment Theme: Oct 21 – Oct 25, 2019
Market Review
- ตลาดหุ้นโดยรวมเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังนักลงทุนต่างคลายกังวลปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกันความกังวลประเด็น Brexit ก็เริ่มคลี่คลายลง หลังรัฐบาลอังกฤษสามารถบรรลุข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรป
- แม้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น แต่ตลาดหุ้นจีนกลับปรับตัวลงสวนทางตลาดอื่นๆ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงกังวลว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจะยิ่งกดดันแนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน สอดคล้องกับการปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนของจีนราว 44% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดที่ได้ประกาศประมาณการแนวโน้มผลประกอบการ
- ภายใต้ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาด ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะเข้าถือตราสารหนี้ที่ให้ยีลด์ที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะ ตราสารกลุ่ม HY ที่ให้ยีลด์ไม่น้อยกว่า 3.9% ดังจะเห็นได้จากยอดซื้อสุทธิ ETF ของตราสารกลุ่ม HY ราว 2.5พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ ETF ของพันธบัตรรัฐบาลกลับมีแรงซื้อสุทธิราว 500 ล้านดอลลาร์
- ส่วนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ย่อตัวลงเล็กน้อย 0.3% หลังยอดสต็อกน้ำมันดิบในสหรัฐฯ (Crude Inventories) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีการสงบศึกสงครามการค้าชั่วคราวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ช่วยคลายความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและหนุนให้ราคาน้ำมันดิบไม่ปรับตัวลดลงไปมาก
Economic Outlook
- สัปดาห์นี้ ตลาดจะให้ความสำคัญกับสองประเด็นหลัก ได้แก่ ประเด็น Brexit ซึ่งอาจกลับมาส่งความกังวลให้ตลาดได้ทุกเมื่อ หากสหภาพยุโรปปฏิเสธการขยายเวลากำหนดออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษไปอีก 3 เดือน หรือรัฐบาลอังกฤษยังไม่สามารถผลักดันร่างข้อตกลง Brexit ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาได้ นอกจากนี้ ตลาดจะให้ความสนใจแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาแย่ลงกว่าคาด และชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหามากขึ้น
- ในส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าติดตาม ไฮไลท์จะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของนาย Mario Draghi ในฐานะประธานธนาคารกลางยุโรป โดยตลาดคาดว่า ECB จะไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในครั้งนี้ แต่ ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อพยุงเศรษฐกิจและเรียกร้องให้ภาครัฐใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังเพิ่มเติม
- นอกจากประเด็น Brexit และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะให้ความสนใจรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯที่มีรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ อาทิ Amazon, Paypal, Microsoft และ Boeing เป็นต้น โดยผลประกอบการที่แย่กว่าคาด รวมถึงการปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตจะเป็นปัจจัยที่อาจกดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงได้
Theme of the Week
- สัปดาห์นี้ มองว่า นักลงทุนจะไม่รีบกลับเข้าสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยคาดว่านักลงทุนจะรอติดตามความคืบหน้าของประเด็น Brexit รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองสินทรัพย์อย่างชัดเจน
- ในระยะสั้น เราเชื่อว่าภาพความไม่แน่นอนของทั้งการเจรจาข้อตกลง Brexit และแนวโน้มเศรษฐกิจจะทำให้นักลงทุนเลือกที่จะถือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของปันผลหรือกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ (Income Generating Assets) เพิ่มมากขึ้น
- โดยถ้าหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ พันธบัตรรัฐบาลก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี แต่นักลงทุนก็ควรรอจังหวะที่ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นเพื่อเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้น ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน ตราสารหนี้กลุ่ม HY โดยเน้นตราสารกลุ่ม HY ที่มีคุณภาพสูงขึ้นหรือมีความเสี่ยงด้านเครดิตน้อยที่สุดในกลุ่ม HY ส่วนกองทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานก็ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจด้วยยีลด์ที่สูงกว่า 4.0% และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็ควรเลือกหุ้นปันผลสูงและคุณภาพดี (High Dividend and High Quality)
- นอกจากนี้ เรายังคงมองว่า ภายใต้การพักรบสงครามการค้าชั่วคราวระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การลงทุนในหุ้นจีนคือคำตอบสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงและความผันผวนได้เต็มที่ เพราะทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางจีนก็พร้อมใช้นโยบายการเงินและการคลังเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ หุ้นจีนยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ตามการเพิ่มสัดส่วนหุ้นจีนบนดัชนี MSCI และการปลดล็อกข้อจำกัดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ จึงสามารถมองได้ว่าการปรับฐานของหุ้นจีนในระยะสั้นคือโอกาสในการทยอยเก็บหุ้นจีนในราคาที่ถูกลง (Buy on dip)
- อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากขึ้น นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนด้วยกลยุทธ์เชิงรับ (Defensive) โดยทยอยซื้อสะสม “พันธบัตรรัฐบาล” ในช่วงที่ยีลด์ปรับตัวขึ้นเมื่อตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง และหากนักลงทุนกล้าเสี่ยงและรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้ พันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (EM Sovereign Bonds) คือตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยระดับยีลด์ที่สูงกว่า บอนด์ DM อีกทั้ง บอนด์ EM มักจะปรับตัวขึ้นได้ดี ในช่วงที่เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง
สำหรับมุมมองเราต่อ Asset Classes ต่างๆ มีดังนี้
- Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าจะเป็นปัจจัยที่สามารถกดดันบรรยากาศการลงทุนได้ทุกเมื่อ นักลงทุนจึงควรลดสัดส่วนการถือครองหุ้น และรอโอกาสเข้าซื้อ หากตลาดมีการปรับฐานหนัก (Buy on Dip) เพื่อเลือกซื้อของถูก โดยควรเน้นหุ้นที่มีคุณภาพดีและให้ปันผลสูง (High Quality and High Dividend Yield)
นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ
หรือลบโฆษณา
- US Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะลอตัวมากขึ้น และปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ซื้อ/ขายกันในระดับราคาที่แพง (P/E 19.7 เท่า) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา (P/E 17.9 เท่า) ซึ่งหากเศรษฐกิจไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดิมมาก หรือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ออกมาดีเกินคาดไปมาก Upsides ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ดูจะไม่คุ้มความเสี่ยง
- Europe Equity: คงมุมมอง “Neutral” เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น และผลกระทบของสงครามการค้าและปัญหาการเมืองในยุโรปอาจกดดันแนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ดี หุ้นยุโรปก็ยังมีแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางยุโรป และเราอาจจะมีมุมมองที่เป็นบวกกับหุ้นยุโรปมากขึ้น หากรัฐบาลยุโรป อาทิ รัฐบาลเยอรมนี เริ่มใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
- Japan Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น กดดันให้เงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นเสมอ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Assets) ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ราคาปัจจุบันของหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX Index) ที่ P/E 14.2 เท่า ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 17.5 เท่า
- EM Equity: คงมุมมอง “Neutral” ตลาดหุ้นก็สามารถรีบาวด์ขึ้นได้ในช่วงสั้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ดีบางประเทศในตลาดเกิดใหม่ยังคงมีปัญหาการเมืองในประเทศ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อระดับสูง นักลงทุนจึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มประเทศดังกล่าว
- China Equity: คงมุมมอง “Overweight” โดยเราเชื่อว่าในระยะสั้น ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการที่จะพักรบสงครามการค้าชั่วคราว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนก็ยังมีปัจจัยหนุนอยู่ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน (PBOC) และ การเพิ่มสัดส่วน หุ้นจีน A-Shares บนดัชนีของ MSCI ดังนั้น การปรับฐานของตลาดหุ้นจีนก็จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นจีน (Buy on Dip) ในราคาที่ไม่แพง
- Thai Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงและทั้งปีจะโตได้ไม่ถึง 3%จากปีก่อนหน้า ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจแย่ลงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้
- Fixed Income: คงมุมมอง “Neutral” โดยในระยะสั้น แม้ว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลกจะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนตลาดบอนด์ แต่บอนด์ยีลด์ก็ปรับตัวลดลงมามากทำให้มีโอกาสที่ยีลด์จะปรับตัวขึ้นได้แรง หากตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างแน่นอน ดังนั้น นักลงทุนควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์เด้งขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบอนด์
- Global Fixed Income: คงมุมมอง “Neutral” โดยมองว่าตราสารหนี้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลมียีลด์ที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยีลด์พันธบัตรรัฐบาลก็ปรับตัวลดลงมามาก ทำให้เสี่ยงที่ยีลด์จะเด้งขึ้นแรง เมื่อตลาดกล้าเสี่ยงในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี เรามองว่าตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและให้ยีลด์ที่สูง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (EM Sovereign Debts) ของประเทศที่มีปัญหาการเมืองน้อย ยังคงน่าสนใจด้วยยีลด์ที่สูงกว่าตลาด DM ราว 2% อีกทั้งตราสารหนี้ EM ยังจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเฟด และการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางใน EM
- Thai Fixed Income: คงมุมมอง “Underweight”เพราะยีลด์บอนด์ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.6% ต่ำกว่า ยีลด์โดยเฉลี่ยจากบอนด์กลุ่ม EM ที่ระดับ 3.9% หรือ ยีลด์ของตราสาร HY ที่ 6.2% ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกที่ดีกว่าบอนด์ไทย
- Alternative Assets: คงมุมมอง “Overweight” เนื่องจากนักลงทุนจะแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมียีลด์ที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในช่วงที่ตลาดเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและปัญหาการเมือง ทำให้สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง กองทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานยังมีความน่าสนใจ ด้วยยีลด์ที่สูงระดับ 4-5% อย่างไรก็ดีนักลงทุนควรตระหนักไว้ว่า หากตลาดกลัวความเสี่ยงมากและไล่ขายสินทรัพย์เสี่ยง กองทุนอสังหาฯ ก็จะมีโอกาสโดนเทขายได้เช่นกัน
- REITs/Infra.: คงมุมมอง “Overweight” เพราะกองทุนอสังหาฯ โดยรวมยังให้ยีลด์ที่สูงกว่าตราสารหนี้ราว 3% และยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทว่า นักลงทุนก็ควรเลือกกองทุนอสังหาฯที่มีการกระจายการลงทุนในต่างประเทศ และมีสัดส่วนการลงทุนมากกว่าในไทย เพราะกองทุนอสังหาฯไทย ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากอย่างรวดเร็ว จากความต้องการของนักลงทุนและสภาพคล่องที่ต่ำ ทำให้กองทุนอสังหาฯไทย แพงขึ้นมากในสายตาของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งพร้อมที่จะขายทำกำไรกองทุนอสังหาฯไทยได้ทุกเมื่อ
- Commodity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบ โดยความต้องการน้ำมันจะกลับมาลดลง ตามภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นหนุนโดยกำลังการผลิตน้ำมันในฝั่งสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- Gold: คงมุมมอง “Overweight” เพราะข้อมูลในอดีตชี้ชัดว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ธนาคารกลางต่างใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และภาพรวมเศรษฐกิจโลกไม่สดใส ดังนั้น หากตลาดเปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น และทำให้ราคาทองคำปรับฐาน นักลงทุนก็ควรมองว่าการปรับฐานดังกล่าวเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมทองคำ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (Buy on Dip)
นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ
หรือลบโฆษณา