รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ตลาดระมัดระวังตัว ...รอลุ้นเจรจาข้อตกลง Brexit

เผยแพร่ 16/10/2562 09:02

Weekly Investment Theme: Oct 15 – Oct 18, 2019

Market Review

  • ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวขึ้น หลังจีนกับสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงการค้าบางส่วนในการเจรจาการค้าล่าสุด ทำให้นักลงทุนมองว่าจะนำไปสู่การลงนามข้อตกลงทางการค้าระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศได้ในเดือนหน้า

  • ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาด ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อทำกำไร เห็นได้จากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10ปี ดีดตัวขึ้นราว 20bps แตะระดับ 1.70% ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็ย่อตัวลง 0.9%

  • ส่วนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวขึ้นราว 1.6% หลังความหวังข้อตกลงการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ช่วยลดความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

Economic Outlook

  • สัปดาห์นี้ ประเด็นสำคัญที่ตลาดจะติดตามคือการเจรจาข้อตกลง Brexit ระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับสหภาพยุโรป โดยความสนใจของตลาดจะอยู่ที่การประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป (EU Summit) ระหว่างวันที่ 17-18นี้ ซึ่งจะเป็นการเจรจาข้อตกลงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนกำหนดอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในสิ้นเดือนตุลาคม โดยถ้าหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะต้องขอขยายกำหนด Brexit ออกไป 3 เดือน

  • ในส่วนข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดคาดว่า เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวเพียง 6.0% จากปีก่อน ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 2 ที่โตได้ 6.2% ชี้ว่าภาพเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯเก็บภาษี 15% กับสินค้าจีนมูลค่า 1.1 แสนล้านดอลลาร์ หนุนโอกาสที่รัฐบาลและธนาคารกลางจีนใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม

  • นอกจากประเด็นการเจรจาข้อตกลง Brexit และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะให้ความสนใจถ้อยแถลงของบรรดาคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) อาทิ James Bullard และ Esther George ในวันอังคาร เพื่อติดตามมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเป็นไปได้ของการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น หลังเฟดได้ประกาศมาตรการเพิ่มสภาพคล่องด้วยการซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น (T-Bill) ด้วยวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า

Theme of the Week

  • สัปดาห์นี้ มองว่า นักลงทุนจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น (Wait and See) เนื่องจากนักลงทุนจะรอดูทิศทางการเจรจาข้อตกลง Brexit ขณะเดียวกันนักลงทุนบางส่วนก็ยังไม่วางใจว่าการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯล่าสุดจะนำไปสู่การลงนามข้อตกลงการค้าในเดือนหน้าได้

  • ในระยะสั้น แม้ว่าจะมีภาพความไม่แน่นอนของทั้งปัจจัยการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ และการเจรจาข้อตกลง Brexit แต่นักลงทุนก็ควรกล้าลงทุนต่อโดยเน้นกลยุทธ์ตั้งรับ (Defensive) ด้วยการเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอมากขึ้น และเคลื่อนไหวตามตลาดน้อย (Uncorrelated) โดยถ้าหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ ตราสารหนี้ อย่างพันธบัตรรัฐบาลก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้น ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน กองทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐาน และสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถเลือกลงทุนเน้นหุ้นปันผลสูงและคุณภาพดี (High Dividend and High Quality) เพราะในช่วงตลาดผันผวนมากขึ้น แต่ไม่สูงจนเกินไป หุ้นปันผลสูงและคุณภาพดีจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด

  • ส่วนนักลงทุนที่กล้าเปิดรับความเสี่ยงได้เต็มที่และเชื่อว่าสหรัฐฯกับจีนจะพักรบชั่วคราว หุ้นจีน คือคำตอบ โดยเฉพาะหุ้นจีน A-shares เพราะถ้าหากสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย หุ้นจีนก็พร้อมที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้ อีกทั้งหุ้นจีนยังมีแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ตามการเพิ่มสัดส่วนหุ้นจีนบนดัชนี MSCI และการปลดล็อกลิมิตการลงทุนในจีนจากนักลงทุนต่างชาติ

  • ในระยะยาว เราเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัวคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ ดังนั้น นักลงทุนควรทยอยซื้อสะสม “พันธบัตรรัฐบาล” โดยเฉพาะในช่วงที่ยีลด์เด้งขึ้นเวลาที่ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง โดยนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงจากปัจจัยการเมือง พันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (EM Sovereign Bonds) ก็ยังน่าสนใจ ด้วยระดับยีลด์ที่สูงกว่า บอนด์ DM อีกทั้ง บอนด์ EM มักจะปรับตัวขึ้นได้ดี ในช่วงที่เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง

สำหรับมุมมองเราต่อ Asset Classes ต่างๆ มีดังนี้

  • Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัว และความไม่แน่นอนของสงครามการค้าจะเป็นปัจจัยที่สามารถกดดันบรรยากาศการลงทุนได้ทุกเมื่อ นักลงทุนจึงควรลดสัดส่วนการถือครองหุ้น และรอโอกาสเข้าซื้อ หากตลาดมีการปรับฐานหนัก (Buy on Dip) เพื่อเลือกซื้อของถูก โดยควรเน้นหุ้นที่มีคุณภาพดีและให้ปันผลสูง (High Quality and High Dividend Yield)

  • US Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะลอตัวมากขึ้น และปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ซื้อ/ขายกันในระดับราคาที่แพง (P/E 19.5ท่า) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา (P/E 17.9 เท่า) ซึ่งหากเศรษฐกิจไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดิมมาก หรือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ออกมาดีเกินคาดไปมาก Upsides ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ดูจะไม่คุ้มความเสี่ยง
นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

  • Europe Equity: คงมุมมอง “Neutral” เนื่องจากโอกาสเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามการค้าและปัญหาการเมืองในยุโรปอาจกดดันแนวโน้มผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน แต่หุ้นยุโรปก็ยังมีแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางยุโรป

  • Japan Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น กดดันให้เงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นเสมอ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Assets) ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ราคาปัจจุบันของหุ้นญี่ปุ่น (TOPIX Index) ที่ P/E 14.2 เท่า ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10ปีที่ผ่านมา ที่ระดับ 17.5 เท่า

  • EM Equity: คงมุมมอง “Neutral” ตลาดหุ้นก็สามารถรีบาวด์ขึ้นได้ในช่วงสั้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงของธนาคารกลางทั่วโลก อย่างไรก็ดีบางประเทศในตลาดเกิดใหม่ยังคงมีปัญหาการเมืองในประเทศ รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อระดับสูง นักลงทุนจึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มประเทศดังกล่าว

  • China Equity: คงมุมมอง “Overweight” โดยเราเชื่อว่าในระยะสั้น ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการที่จะพักรบสงครามการค้าชั่วคราว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนก็ยังมีปัจจัยหนุนอยู่ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางจีน (PBOC) และ การเพิ่มสัดส่วน หุ้นจีน A-Shares บนดัชนีของ MSCI ดังนั้น การปรับฐานของตลาดหุ้นจีนก็จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมหุ้นจีน (Buy on Dip) ในราคาที่ไม่แพง

  • Thai Equity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงและทั้งปีจะโตได้ไม่ถึง 3%จากปีก่อนหน้า ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอาจแย่ลงกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้

  • Fixed Income: ปรับมุมมองเป็น “Neutral” จาก “Overweight” ในระยะสั้น แม้ว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากธนาคารกลางทั่วโลกจะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนตลาดบอนด์ แต่บอนด์ยีลด์ก็ปรับตัวลดลงมามากทำให้มีโอกาสที่ยีลด์จะปรับตัวขึ้นได้แรง หากตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างแน่นอน ดังนั้น นักลงทุนควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์เด้งขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบอนด์

  • Global Fixed Income: ปรับมุมมองเป็น “Neutral” จาก “Overweight” โดยมองว่าตราสารหนี้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลมียีลด์ที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยีลด์พันธบัตรรัฐบาลก็ปรับตัวลดลงมามาก ทำให้เสี่ยงที่ยีลด์จะเด้งขึ้นแรง เมื่อตลาดกล้าเสี่ยงในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี เรามองว่าตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและให้ยีลด์ที่สูง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลตลาดเกิดใหม่ (EM Sovereign Debts) โดยเฉพาะของประเทศที่มีปัญหาการเมืองน้อย ยังคงน่าสนใจด้วยยีลด์ที่สูงกว่าตลาด DM อีกทั้งตราสารหนี้ EM ยังจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเฟด และการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางใน EM

  • Thai Fixed Income: คงมุมมอง “Underweight”เพราะยีลด์บอนด์ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.6% ต่ำกว่า ยีลด์โดยเฉลี่ยจากบอนด์กลุ่ม EM ที่ระดับ 3.8% หรือ ยีลด์ของตราสาร HY ที่ 6.2% ทำให้นักลงทุนมีตัวเลือกที่ดีกว่าบอนด์ไทย

  • Alternative Assets: คงมุมมอง “Overweight” เนื่องจากนักลงทุนจะแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมียีลด์ที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในช่วงที่ตลาดเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและปัญหาการเมือง ทำให้สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง กองทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานยังมีความน่าสนใจ ด้วยยีลด์ที่สูงระดับ 4-5% อย่างไรก็ดีนักลงทุนควรตระหนักไว้ว่า หากตลาดกลัวความเสี่ยงมากและไล่ขายสินทรัพย์เสี่ยง กองทุนอสังหาฯ ก็จะมีโอกาสโดนเทขายได้เช่นกัน

  • REITs/Infra.: คงมุมมอง “Overweight” เพราะกองทุนอสังหาฯ โดยรวมยังให้ยีลด์ที่สูงกว่าตราสารหนี้ราว 3% และยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทว่า นักลงทุนก็ควรเลือกกองทุนอสังหาฯที่มีการกระจายการลงทุนในต่างประเทศ และมีสัดส่วนการลงทุนมากกว่าในไทย เพราะกองทุนอสังหาฯไทย ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากอย่างรวดเร็ว จากความต้องการของนักลงทุนและสภาพคล่องที่ต่ำ ทำให้กองทุนอสังหาฯไทย แพงขึ้นมากในสายตาของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งพร้อมที่จะขายทำกำไรกองทุนอสังหาฯไทยได้ทุกเมื่อ

  • Commodity: คงมุมมอง “Underweight” เพราะราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบ โดยความต้องการน้ำมันจะกลับมาลดลง ตามภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นหนุนโดยกำลังการผลิตน้ำมันในฝั่งสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • Gold: คงมุมมอง “Overweight” เพราะข้อมูลในอดีตชี้ชัดว่าทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ธนาคารกลางต่างใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย และภาพรวมเศรษฐกิจโลกไม่สดใส ดังนั้น หากตลาดเปิดรับความเสี่ยงในระยะสั้น และทำให้ราคาทองคำปรับฐาน นักลงทุนก็ควรมองว่าการปรับฐานดังกล่าวเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมทองคำ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (Buy on Dip)

ความคิดเห็นล่าสุด

ขอบคุณค่ะ
ยินดีครับ. . ถ้ามีข้อสงสัย หรือคำติชม/แนะนำ บอกมาได้เลยครับ
ขอบคุณครับ ครบจบที่บทความเดียว
ยินดีครับผม. . ถ้ามีข้อสงสัย หรือคำติชม/แนะนำ บอกมาได้เลยครับ
ขอบคุณครับ
ด้วยความยินดีครับ. . ถ้ามีคำแนะนำอะไรก็บอกได้เลยครับ
ขอบคุณมากครับ
ด้วยความยินดีครับ. . มีข้อสงสัยอะไรสามารถถามได้เลยครับ
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย