เมื่อการตัดสินใจทางด้านอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ล่าสุดได้จบสิ้นไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงปัจจัยในด้านสงครามการค้าที่จะกลับมามีอิทธิพลสำคัญกับตลาดอีกครั้ง
สถานการณ์ที่ยืดเยื้อของสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลให้ตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์ต้องปรับลดลงอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ โดยดัชนี S&P 500 ต้องหยุดการฟื้นตัวในรอบสามวันอีกครั้ง หลังจากที่ทางการจีนยกเลิกการเยี่ยมชมไร่ในสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ถึงกับเรียกจีนว่าเป็นภัยร้ายเลยทีเดียว
ในสถานการณ์เช่นนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าสำหรับผู้บริโภคมักจะเป็นหุ้นในกลุ่มที่อ่อนไหวและได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีกับสินค้าจากจีนก็น่าจะยังได้รับผลเชิงลบต่อไปอีก ประกอบกับในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้จะมีผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งที่จะประกาศออกมาพอดิบพอดี ซึ่งก็น่าจะช่วยให้เราทราบว่าแรงกดดันที่ได้รับจากผลของสงครามการค้าในครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรบ้าง
หุ้นของบริษัทที่ควรจับตาในช่วงนี้มีดังต่อไปนี้
1. Nike
Nike จะประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2020 ออกมาในวันอังคารที่ 24 กันยายนหลังปิดตลาด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทผู้ผลิตสินค้าสำหรับการออกกำลังกายยักษ์ใหญ่รายนี้จะมีกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ $0.7 และมียอดขายที่ 10,430 ล้านเหรียญ
กราฟหุ้น NKE รายสัปดาห์ในรอบ 12 เดือนล่าสุด
หลังจากที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดได้ที่ระดับ $90 ต่อหุ้นได้ในเดือนเมษายน หุ้นของ Nike ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับลดลงไปมากกว่า 1% ไปปิดที่ $86.68 แต่เมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ทางด้านกีฬารายนี้ไม่ได้มีมากอย่างที่คิด
Nike ได้เริ่มกระจายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนไปได้ส่วนหนึ่ง เมื่อปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ของ Nike ราว 26% มีการผลิตจากจีน แต่ข้อมูลล่าสุดจากกลุ่มบริษัท Susquehanna Financial เปิดเผยว่าปัจจุบัน Nike นำเข้าสินค้าดังกล่าวมายังสหรัฐฯ เพียงไม่ถึง 10%
ในช่วงการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดของบริษัทที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ผู้บริหารของ Nike ได้ออกมากล่าวว่าสงครามการค้ายังไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับ Nike และบริษัทก็ยังคงนำเข้าสินค้าจากจีนอยู่ ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า หุ้นของ Nike ยังน่าจะเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความเสี่ยงจากจีนอยู่และอาจมีการเทขายอย่างหนักเกิดขึ้นหากยังไม่สามารถหาข้อยุติในเรื่องข้อตกลงทางการค้าได้
2. Micron Technology
บริษัทผู้ผลิตชิปอย่าง Micron Technology จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สี่ของปี 2019 ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายนนี้หลังปิดตลาด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ $0.51 และมียอดขายอยู่ที่ 4.58 พันล้านเหรียญ
กราฟหุ้น MU รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา หุ้นของ Micron ก็ฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วมากกว่า 50% แม้ว่าตลาดอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิปจะยังดูอ่อนแรงลงก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทปิดตลาดลดลง 1.32% ไปอยู่ที่ $49.1
บริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ รายนี้เปิดเผยกับนักลงทุนเมื่อเดือนมิถุนายนว่าได้เริ่มจัดส่งสินค้าบางส่วนให้กับบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยีของจีนบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังมีการแบนจากสหรัฐฯ อยู่ โดยนายซานเจย์ เมห์โรทรา ประธานกรรมการบริหารของ Micron กล่าวว่าหลังจากที่ทำการศึกษาข้อจำกัดเกี่ยวกับการส่งออกแล้วพบว่า มีผลิตภัณฑ์ “บางชนิด” ที่บริษัทสามารถจำหน่ายให้กับหัวเว่ยได้เนื่องจากไม่อยู่ในรายการที่ทางการกำหนดไว้
ก่อนหน้านี้ Micron เคยถูกสั่งให้ระงับการส่งสินค้าไปยังหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัท หลังจากที่รัฐบาลของทรัมป์สั่งแบนบริษัทหัวเว่ยไม่ให้ซื้อสินค้าจากบริษัททางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เนื่องจาก Micron เป็นผู้ผลิตชิปซึ่งเป็นส่วนประกอบของหน่วยความจำที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ต่างๆ
ยอดขายของ Micron เฉพาะกับหัวเว่ยคิดเป็นจำนวนประมาณ 13% ของยอดขายทั้งปีของ Micron การประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด และการประชุมที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้จะช่วยให้เราทราบข้อมูลเชิงลึกรวมถึงการคาดการณ์ความต้องการที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้มากยิ่งขึ้น
3. Netflix (NASDAQ:NFLX)
หุ้นของยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิงผ่านวิดีโอสตรีมมิงอย่าง Netflix ยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่คู่แข่งรายใหญ่อย่าง Disney และ Apple (NASDAQ:AAPL) กำลังจะออกมาเปิดตัวบริการของตนในเดือนพฤศจิกายน
กราฟหุ้น NFLX รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
เมื่อวันศุกร์ หุ้นของ Netflix ร่วงลงมากกว่า 5% ไปปิดอยู่ที่ $270.75 หลังจากที่นายรีด แฮสติงส์ ซีอีโอของบริษัทออกมากล่าวว่าการที่ Apple, Disney และ NBC (NASDAQ:CMCSA) ลงมาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ จะทำให้ต้นทุนการทำคอนเทนต์สูงขึ้นและจะเป็นการ “เปลี่ยนโลกทั้งใบในเดือนพฤศจิกายน” เลยทีเดียว
นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา หุ้นของ Netflix ปรับลดลงไปแล้วมากกว่า 25% และมีท่าทีว่าจะปรับลดลงต่อไปอีกจนกว่าจะมีสัญญาณที่สามารถบ่งชี้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้จะมีแผนการใดที่จะใช้เพื่อครองส่วนแบ่งตลาดต่อไปได้
ในช่วง ไตรมาสสุดท้าย Netflix ก็ยังทำผลงานทั้งตลาดภายในและนอกประเทศได้ไม่ถึงเป้า ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ต่อจากนี้ไปน่าจะลำบากมากกว่าเดิม เนื่องจากผู้ชมกำลังจะมีผู้ให้บริการทางด้านความบันเทิงรายอื่นเข้ามาให้เลือกได้มากขึ้น