โดย Dhirendra Tripathi
Investing.com -- หุ้นดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้ามาช้อนซื้อ หลังจากหุ้นเทคโนโลยีฉุดตลาดตกต่ำในวันจันทร์
หุ้นเติบโตรีบาวน์ในวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ Apple Inc (NASDAQ:AAPL), Microsoft Corporation (NASDAQ:MSFT) และ Netflix Inc (NASDAQ:NFLX) ) แม้แต่ Facebook Inc (NASDAQ:FB) ก็ปรับตัวขึ้น แม้ว่าจะมีผลกระทบจากการหยุดให้บริการทั่วโลกในวันจันทร์นี้ บวกกับประเด็นอดีตพนักงานออกมาให้การเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหยียดชาติพันธุ์
ราคาน้ำมันดิบยังคงพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ราคาของ น้ำมันดิบ WTI ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับเหนือ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
OPEC+ ตัดสินใจเมื่อวันจันทร์ว่ากลุ่มพันธมิตรจะไม่เพิ่มการผลิตเป็นพิเศษ แม้ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้น แต่พวกเขากำลังยึดถือข้อตกลงที่จะเพิ่มแค่ 400,000 บาร์เรลต่อวันในแต่ละเดือน จนกว่าการลดผลผลิตจากการระบาดใหญ่จะเริ่มฟื้นฟู
ในวอชิงตัน ฝ่ายนิติบัญญัติยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับรายละเอียดของการใช้จ่ายประกันสังคมจำนวนมาก และแพ็คเกจช่วยเหลือเพื่อรับมือกับสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ผู้นำพรรคเดโมแครตกำลังกดดันให้เพิ่มเพดานหนี้
แต่จุดสนใจในสัปดาห์นี้ยังคงเป็นการเปิดตัวรายงานการจ้างงานประจำเดือนกันยายนที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ หลายคนเชื่อว่าผลที่ออกมาจะช่วยปูทางให้ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มผ่อนปรนการซื้อพันธบัตรรายเดือน ดังตัวอย่างที่เห็นกันก่อนคือรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของ ADP
ต่อไปนี้คือ 3 ปัจจัยที่นักลงทุนควรจับตา
1. การจ้างงานนอกภาคการเกษตร
ADP ซึ่งเป็นบริษัทประมวลผลเงินเดือนจะเปิดเผยข้อมูลในเวลา 8:15 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1215 GMT) สำหรับการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตรแบบเดือนต่อเดือน การคาดการณ์ที่รวบรวมข้อมูลโดย Investing.com บริษัทเอกชนในสหรัฐฯ คาดว่าจะเพิ่มงานราว 428,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน มากกว่า 374,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ตัวเลขเดือนสิงหาคมคาดการณ์ออกมาต่ำลงเล็กน้อย
2. เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง
ค่าเงินบาทใกล้แตะแนวต้านที่ 34 บาทในสัปดาห์นี้ โดยล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ 33.830 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 1.527%
3. รายได้จากเครื่องแต่งกาย
กางเกงยีนส์และเสื้อผ้าลำลองยักษ์ใหญ่อย่าง Levi Strauss & Co Class A (NYSE:LEVI) คาดว่าจะรายงานกำไรต่อหุ้นในไตรมาสที่สองที่ 37 เซนต์ จากรายรับ 1.48 พันล้าน