โดย Yasin Ebrahim
Investing.com - เมื่อวานนี้ ดัชนี S&P 500 ปิดที่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยไม่แยแสต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังร่วงและเข้าสู่แนวโน้มขาลงจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.47% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,239.42 จุด ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.06% หรือ 19 จุด และ ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 0.78%
กระทรวงแรงงานสหรัฐกล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเดือนที่แล้วหลังจากที่ขยับขึ้น 0.9% ในเดือนเมษายน ราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมทำให้ตัวเลข CPI เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบปีต่อปี จาก 4.2% ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ1980
อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ลดลงเนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ยังคงทำให้นักลงทุนกลัวว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับนโยบายให้รัดกุมเร็วขึ้น
บรรดาผู้ที่หลีกหนีพันธบัตร ซึ่งเทขายพันธบัตรเพื่อเดิมพันกับมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับเรื่องภาวะเงินเฟ้อชั่วคราว กำลังเริ่มชะลอการขาย ด้วยความกังวลว่าคำกล่าวอ้างของธนาคารกลางอาจจะเป็นเรื่องจริง
"หากคุณเดิมพันกับเฟด คุณมักจะพลาด" โยฮัน แกรห์น หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ETF ของ Allianz กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Investing.com “หากคุณคาดการณ์ถูก ซึ่งมักจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ทุกคนก็จะเดิมพันไปในทิศทางเดียวกับคุณ ดังนั้น หากคาดการณ์ผิด มันจะส่งผลเสียหายได้มากทีเดียว”
ดูเหมือนจะมีเหตุผลที่ดีในการละเว้นจากการเดิมพันกับเฟดในเรื่องนี้ เพราะเศรษฐกิจกำลังเปิดใหม่อีกครั้ง ผู้บริโภคกลับไปใช้บริการที่ถูกปิดตัวลงในช่วงที่โควิดระบาด เช่น ร้านอาหารและการเดินทางระหว่างประเทศ แต่ราคาที่พุ่งสูงขึ้นนี้ไม่สำคัญเนื่องจากอัตราค่าแรงก็ยังไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น
"การตัดสินใจเกิดขึ้นในระดับผู้บริโภค แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น มันอยู่ที่ว่าจะใช้จ่ายเงินที่ใดมากกว่า" แกรห์นกล่าวเสริม “ผู้บริโภคจะต้องตัดสินใจว่า พวกเขาต้องการขึ้นเที่ยวบินสองเที่ยวที่ราคา 300 ดอลลาร์ต่อคน หรือต้องการขึ้นเที่ยวบินเดียว ซึ่งราคาตอนนี้อาจเป็น 450 ดอลลาร์ต่อคน”
ขณะนี้หุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี กำลังเฟื่องฟูท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรที่ตกต่ำ ทำให้ตลาดโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
นอกเหนือจาก Apple (NASDAQ:AAPL) แล้ว หุ้นใหญ่ตัวอื่น ๆ อย่าง Alphabet (NASDAQ:GOOGL), Amazon.com (NASDAQ:AMZN), Microsoft (NASDAQ:MSFT) และ Facebook (NASDAQ:FB) ต่างก็มีราคาเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มสุขภาพยังเป็นหุ้นที่โดดเด่นของวัน นำโดยบริษัท Bristol-Myers Squibb Company (NYSE:BMY) และ Bio-Rad Laboratories (NYSE:{{20475|BIO}) })
Bristol-Myers Squibb พุ่งขึ้น 3% หลังจากรายงานการปรับปรุงในเชิงบวก จากการทดลองขั้นสุดท้ายของยารักษามะเร็ง Breyanzi
หุ้นกลุ่มพลังงานก็ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันฟื้นตัวจากการร่วงลงระหว่างวันด้วยความกลัวว่า การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์จะทำให้อิหร่านจะกลับมาดำเนินการส่งออกน้ำมันต่อได้หากสหรัฐฯ ยกเลิกการคว่ำบาตรต่ออดีตเจ้าหน้าที่อิหร่านและบริษัทพลังงานอีกหลายแห่ง
ทางด้านหุ้นมีม GameStop (NYSE:GME) ลดลง 27% หลังอัปเดตข้อมูลจำนวนมาก รวมถึงผลประกอบการไตรมาสสองที่เหนือความคาดหมาย การแต่งตั้งอดีตผู้บริหารของ Amazon สองคน และแผนการขายหุ้นอีก 5 ล้านหุ้น