โดย Noreen Burke
Investing.com - ห้าประเด็นที่คุณควรทราบก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- G20 ประกาศใช้มาตรการที่สอดคล้องกันเพื่อตอบโต้การระบาดของไวรัสโคโรนา
คณะกรรมการทางการเงินจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้ง 20 ประเทศได้เข้าร่วมการประชุมเมื่อวันเสาร์ และได้ประกาศใช้มาตรการที่สอดคล้องกันเพื่อรับมือกับการระบาดซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์ไว้ว่าการระบาดครั้งนี้จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงเหลือ 5.6% และทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง 0.1%
ผู้อำนวยการจัดการ IMF นาง Kristalina Georgieva ได้กล่าวไว้ ณ ที่ประชุมคณะกรรมการทางการเงินและผู้ว่าธนาคารกลางของกลุ่มประเทศ G20 ว่า “แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเตรียมรับมือหากสถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่านี้ หากการระบาดของเชื้อไวรัสยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลานานและกระจายไปยังทั่วโลก และหากผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความยืดเยื้อ"
ทางการจีนได้รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลงเมื่อวานนี้ แต่ทางองค์การอนามัยโลกกลับเตือนว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ว่าการระบาดเริ่มอยู่ภายใต้การควบคุม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อภายนอกประเทศจีนยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
- ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะทะลุระดับ 100 หรือไม่
แม้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะย่อตัวลงเมื่อวันศุกร์เนื่องจากดัชนี PMI สหรัฐฯ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ออกมาอ่อนแอ แต่สัปดาห์ที่แล้วดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นและเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับ เงินยูโร, ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนเมื่อเทียบกับ เงินเยน และระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีเมื่อเทียบกับ ดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ แล้วในเดือนนี้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นมากว่า 2% แล้ว
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยืนหยัดต่อกรกับเชื้อไวรัสโคโรนาได้ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่ปลอดภัย อย่างน้อยก็สำหรับช่วงนี้
ภาพรวมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของฝั่งยูโรโซนและญี่ปุ่นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกดดันค่าเงินยูโรและค่าเงินเยนต่อไป
และการเทขายค่าเงินเยนครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการซื้อขายที่เปลี่ยนไปจากปีก่อน ๆ ที่เงินเยนมักจะแข็งค่าขึ้นเมื่อมีปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดทั่วโลก
- สมาชิกเฟดให้คำกล่าว, ข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
รองประธานเฟด นายริชาร์ด คลาริดา มีกำหนดการให้คำกล่าวในที่ประชุมเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน ณ กรุงวอชิงตันในวันพรุ่งนี้ ร่วมกับหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก IMF นาง Gita Gopinath และประธานเฟดประจำคลีฟแลนด์ นางลอเร็ตตา เมสเตอร์ ส่วนประธานเฟดจากมินนิอาโปลิส นายนีล คัชคารี และประธานเฟดจากดัลลัส นายโรเบิร์ต แคปแลน ก็มีกำหนดการให้คำกล่าวในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
และในวันพรุ่งนี้จะมีการรายงาน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ
ส่วน ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ที่จะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีนี้คาดว่าจะลดลงเนื่องจากกำลังการผลิตที่ชะลอตัวลงในภูมิภาคเอเชีย และน่าจะได้รับแรงกดดันจากการหยุดการผลิตเครื่องบินของ Boeing (NYSE:BA) รุ่น 737 Max เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นการประกาศตัวเลขครั้งที่สองของ GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่สี่คาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ มากนัก
- ข้อมูลทางเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน
รายงานจาก IFO ของเยอรมนีในวันนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดยุโรปสัปดาห์นี้ โดยผลคาดการณ์อย่างเป็นเอกฉันท์จาก Investing.com คาดว่า ดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจ จะออกมาอยู่ที่ 95.3 จากเมื่อเดือนมกราคมที่ 95.9 ส่วนข้อมูลทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้คือตัวเลขบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อของ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส ในวันศุกร์ซึ่งจะแสดงให้เห็นภาพรวมทางเศรษฐกิจล่วงหน้าก่อนการประชุมธนาคารกลางยุโรปประจำเดือนมีนาคม
ส่วนประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) นางคริสทีน ลาการ์ด มีกำหนดการคำกล่าวที่เยอรมนีในวันพุธ ส่วนสมาชิก ECB ท่านอื่น ๆ รวมทั้งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ นายฟิลิป เลน ก็จะมีกำหนดการให้คำกล่าวในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
- การรายงานผลประกอบการ
ตัวเลขคาดการณ์จาก Refinitiv คาดว่าผลประกอบการประจำไตรมาสที่สี่ของ S&P 500 จะขยายตัวขึ้น 3.1% ต่างจากผลคาดการณ์ที่คาดว่าเมื่อเทียบปีต่อปีแล้วจะหดตัวลง โดยเมื่อเดือนมกราคมนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวลง 0.3%
ในสัปดาห์นี้จะมีบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าผู้บริโภคหลายรายที่มีกำหนดการรายงานผลประกอบการ ได้แก่ บริษัทการค้าปลีก Macy’s (NYSE:M) ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถูกลดการจัดอันดับลงไปสู่หุ้นที่มีผลงานย่ำแย่ที่สุดโดย S&P Global (NYSE:SPGI) นอกจากนี้ยังจะมีการรายงาน ผลประกอบการ ของ Marriott International (NASDAQ:MAR) ด้วย