- ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นต่อไปอีก
ราคาน้ำมันทะยานขึ้นเมื่อวันศุกร์หลังจากที่สหรัฐฯ ได้คร่าชีวิตผบ.อิหร่านผ่านการโจมตีทางอากาศ สร้างความหวาดหวั่นว่าความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางอาจส่งผลเสียต่ออุปทานน้ำมันโลก
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 3% ส่วน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ บวกขึ้น 3.6% สู่ระดับสูงกว่า $68 ต่อบาร์เรล โดยครั้งสุดท้ายที่ราคาสัญญาเบรนท์เคยอยู่ในระดับนี้คือเมื่อกลางเดือนกันยายน หลังจากเกิดเหตุการณ์การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุดิอาระเบียที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดภายในระยะเวลานานกว่า 30 ปี ทั้งนี้ราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าอิหร่านจะตอบโต้เอาคืนสหรัฐฯ อย่างไรและเมื่อใด
- ตลาดโลกท่ามกลางปัจจัยความเสี่ยงทางการเมือง
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่ากลุ่มหุ้นตั้งรับจะทำผลงานได้ดีเป็นพิเศษ, ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะมีแนวโน้มขาลง และสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูงคาดว่าจะปรับตัวขึ้น
เมื่อวันศุกร์ดัชนีหลักในวอลล์สตรีทพากันย่อตัวลงจากระดับสูงสุด โดยดัชนี S&P 500 ย่อตัวลง 0.7% จากที่ปรับตัวขึ้นมาห้าสัปดาห์ติดต่อกัน และตัวเลขจาก ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่หดตัวลงมากกว่าคาดการณ์ได้สร้างความกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอีกด้วย
- ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ตัวเลขตลาดแรงงานล่าสุดของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนชี้ว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 266,000 ตำแหน่งซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 10 เดือน ในขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 3.5% ถือเป็นระดับที่ต่ำสุดในครึ่งศตวรรษ ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดแรงงานประจำเดือนธันวาคมน่าจะชะลอตัวลงเหลือ 160,000 ตำแหน่ง
ตัวเลขจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าสงครามทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีนไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเป็นวงกว้างมากเท่าไรนัก เห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สามของสหรัฐฯ ที่ยังขยายตัว 2.1% ถึงแม้ว่าภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบ แต่ตลาดก็มีความเชื่อมั่นต่อข้อตกลงทางการค้าขั้นแรกที่จะมีการลงนามเกิดขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้
- ข้อตกลงทางการค้าสหรัฐฯ-จีน
แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะมีการลงนามข้อตกลงทางการค้าขั้นแรกในวันที่ 15 มกราคมนี้ แต่ประเทศจีนยังคงเก็บตัวและยังไม่มีการเผยรายละเอียดเกี่ยวกับข้อตกลงครั้งนี้แต่อย่างใด จึงทำให้ตลาดโลกยังคงไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ขณะนี้เสียทีเดียว
ไม่กี่วันมานี้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นหลังจากยอดค้าปลีกออกมาดี, ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง และการใช้มาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีนด้วยการลดอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่อง ดังนั้น ดัชนี PMI จีน ภาคกิจการบริการที่จะประกาศออกมาในวันนี้จะเป็นที่น่าจับตาเช่นเดียวกับ อัตราเงินเฟ้อ ในวันพฤหัสบดีนี้ และในวันพรุ่งนี้จะมีการเผยทุนสำรองของธนาคารกลางจีนด้วย
- ข้อตกลง Brexit
รัฐสภาสหราชอาณาจักรจะร่วมกันหารือในวันที่ 7 มกราคมนี้เกี่ยวกับข้อตกลงการถอนตัวที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ได้ตกลงไว้กับสหภาพยุโรป
แต่ความกังวลต่อการเกิด Brexit แบบไม่มีข้อตกลงยังคงเป็นแรงกดดันสำคัญต่อ ค่าเงินปอนด์ ซึ่งย่อตัวลงมาต่ำกว่า $1.31 จากระดับสูงสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่เหนือระดับ $1.35 โดยหากสภาเห็นชอบข้อตกลงแล้วก็จะเป็นการนับถอยหลังการทำข้อตกลงด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ซึ่งหากไม่สามารถทำข้อตกลงทางการค้าดังกล่าวได้ทันสิ้นปี 2020 ก็จะทำให้สหราชอาณาจักรจำเป็นต้องถอนตัวจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลงทางการค้าใด ๆ มารองรับ
ทว่ากระบวนการพิจารณาข้อตกลงการถอนตัวน่าจะสิ้นสุดลงภายในสิ้นเดือนนี้ ดังนั้นค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงจึงอาจมีความเคลื่อนไหวต่อข้อมูลทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ภายในประเทศมากกว่าเมื่อปีที่แล้ว โดยในวันนี้จะมีการรายงาน ตัวเลขภาคกิจการบริการ ครั้งสุดท้ายประจำเดือนธันวาคมของสหราชอาณาจักรซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ภายใต้ระดับ 50 ขณะที่ ราคาที่อยู่อาศัยในอังกฤษ ที่จะประกาศออกมาในวันพุธนี้ก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายหลังจากที่สถานการณ์ Brexit เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเล็กน้อย