3 ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในเดือนหน้า

เผยแพร่ 29/10/2563 07:04

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQG

เป็นอะไรที่พูดยากจริงๆ หากจะวิเคราะห์ว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้จะยังมีแนวต้านอะไรที่รออยู่บ้างเพราะมีหลายปัจจัยที่ยังสามารถมีอิทธิพลกำหนดให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นหรือลงได้อย่างง่ายดาย ในเดือนเมษายนปี 2020 ทั้งโลกต่างก็ได้ประจักษ์กับราคาน้ำมันดิบที่ลงไปจนติดลบเพราะภัยโรคระบาดจนทำให้ราคาซื้อขายน้ำมันดิบบนตลาด NYMEX ร่วงลงไปต่ำกว่า $0 แม้แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ก็ยังสามารถสร้างจุดต่ำสุดของทศวรรษได้ที่ $16 ต่อบาร์เรล

หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นความพยายามของเหล่าผู้มีอิทธิพลในการผลิตน้ำมันที่จะช่วยดึงสมดุลของราคาน้ำมันกลับมา โอเปก และรัสเซียทุ่มสุดตัวด้วยการลดกำลังการผลิตน้ำมันเกือบ 10 ล้านบาร์เรลในขณะที่สหรัฐฯ ก็ลดการส่งออกน้ำมันจนทำให้ราคาน้ำมันดิบกลับขึ้นมามีราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $40 ต่อบาร์เรลและยังคงวิ่งอยู่ในกรอบดังกล่าวนับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

เพราะประเมินแล้วว่าค่ากึ่งกลางของราคาน้ำมันดิบในปีนี้คงอยู่ที่ $40 ไม่ผิดพลาดไปจากนี้แล้ว เหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะเกิดในช่วงสองเดือนต่อจากนี้จึงสามารถถูกนำมาคาดการณ์เป็นแนวต้านสำหรับราคาน้ำมันดิบในสองเดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปีไปจนถึงไตรมาสที่หนึ่งปี 2021 ได้ กองทุน ETF ที่สร้างผลตอบแทนจากราคาน้ำมันดิบ (NYSE:USO) ได้มีการปรับราคาน้ำมันขึ้นลงตามราคาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าบนตลาด CME และ NYMEX

3 พฤศจิกายน: วันสำคัญที่คนทั้งโลกต่างจับตาดู

เป็นที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมันดิบนั้นวิ่งอยู่ในกรอบราคาประมาณ $40 ต่อบาร์เรลมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้จะเป็นตัวกำหนดนโยบายการผลิตพลังงานน้ำมันจากหินที่สหรัฐฯค้นพบ และใช้เทคโนโลยีผลิตน้ำมันจนกลายมาเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของโลกได้ ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาน้ำมันจากประเทศในตะวันออกกลาง แต่เมื่อพวกเขาสามารถผลิตน้ำมันได้เองก็ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกลดลง มีนโยบายภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่น้อยที่เป็นตัวเร่งให้การผลิตน้ำมันภายในประเทศมีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีต่อราคาน้ำมันก็มีโอกาสที่จะยืนอยู่ในขาขึ้นต่อไปได้ 

ต่างกันกับนโยบายของพรรคเดโมแครตของโจ ไบเดนโดยสิ้นเชิงที่ต้องการจะลดกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ และหันไปสนับสนุนพลังงานทางเลือกแทน โจ ไบเดนย้ำชัดแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะหยุดธุรกิจการขุดหินน้ำมันเพียงแต่จะเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนประเทศให้ไปสู่การใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น หากมองในมุมของการรักษ์โลกนี่ถือเป็นนโยบายที่ดีแต่หากมองในมุมธุรกิจผู้ผลิตน้ำมันแล้ว พวกเขาคงจะไม่อยากเลือกโจ ไบเดนอย่างแน่นอน

แม้พลังงานสะอาดจะเริ่มเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที และความเป็นไปได้ก็เริ่มเห็นชัดขึ้นตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไป แต่ความเป็นจริงสำหรับตอนนี้ก็คือสหรัฐอเมริกา และโลกยังต้องพึ่งพาน้ำมันเป็นหลักอยู่ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันดิบอย่างฉับพลันมีโอกาสทำให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ ต่อให้สหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของโจ ไบเดนจะถอยออกจากการเป็นหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตน้ำมัน แต่ถึงอย่างไรโอเปก และรัสเซียก็ยังเดินหน้ากุมการผลิตน้ำมันของโลกเอาไว้อยู่ดี นอกจากนี้การอ่อนมูลค่าลงของสกุลเงินดอลลาร์ และการปล่อยอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยิ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบด้วย ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่หวังให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น เชื่อได้เลยว่าวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้คุณจะต้องเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออย่างแน่นอน

โควิด-19: เมื่อยารักษามาอุปสงค์น้ำมันดิบจะกลับมาเลยหรือไม่

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าหากพูดถึงปี 2020 ทุกคนจะต้องพูดถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือ “โควิด-19” ว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่ทางหนึ่งก็ทำลายธุรกิจของโลกอีกทางหนึ่งก็เปิดทางให้กับธุรกิจในโลกอนาคตใหม่ๆ ให้มาถึงเร็วยิ่งขึ้น นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวจะยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้โดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองภูมิภาคจะต้องกลับไปสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง เท่ากับว่าการทำงานจากที่บ้านจะยิ่งกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน

 ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่โลกได้รู้จักกับเชื้อไวรัสโควิด-19 นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่เกี่ยวกับการผลิตยาวัคซีนต้านไวรัสก็ได้วนเวียนอยู่ในกระบวนการทดสอบ ทดลอง เรียนรู้ จนมีความรู้ความเข้าใจที่จะจัดการกับเชื้อไวรัสดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบ เมื่อความสามารถในการผลิตยาและวัคซีนเพิ่มสูงขึ้นก็ส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นวัคซีนต้านโควิดเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน 

จะยิ่งดีกว่านั้นอีกหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองของสหรัฐฯ สามารถออกมาในช่วงเวลาเดียวกันกับที่วัคซีนต้านโควิดออกมา ตอนนี้นักลงทุนในตลาดบางส่วนทำใจไปแล้วว่าคงจะไม่ได้เห็นเงินเยียวยาโควิดรอบที่สองก่อนการเลือกตั้ง แต่หากมาตรการดังกล่าวออกมาพร้อมกับวัคซีนแล้วเชื่อว่าผู้คนจะมีความั่นใจกับการออกไปใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น ยิ่งขยับเข้าใกล้ความเป็นปกติเดิมมากแค่ไหน ความต้องการน้ำมันก็จะยิ่งมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามไปอีก

เศรษฐกิจโลกในปี 2020 อาจะเป็นตัวเร่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชั้นดีในปีหน้า

ยิ่งปี 2021 ใกล้เข้ามาสิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องคำนึงถึงไม่ใช่ประเด็นเดิมๆ ในปี 2020 แต่เป็นผลกระทบที่จะตามมาหลังจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบอย่างมหาศาล ในปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงแล้วว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่เกือบ 0% ไปอย่างน้อยอีกสามปี นอกจากนี้พวกเขายังปล่อยเพดานอัตราเงินเฟ้อให้สามารถขึ้นเกิน 2% ได้เป็นครั้งคราว หมายความว่าทันทีที่วัคซีนต้านโควิดมาแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองเกิดขึ้นแล้ว ความเสี่ยงจากปัญหาโควิด-19 จะลดลงแต่โลกจะได้ปัญหาเศรษฐกิจมาแก้ต่อแทน อย่าลืมว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหมายถึงการเพิ่มหนี้เข้าไปในระบบด้วย ยิ่งเงินในระบบมีมากเท่าไหร่ก็ส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ เมื่อความสามารถในการซื้อของสกุลเงินหลักๆ ลดลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะปรับตัวสูงขึ้น

ในช่วงระหว่างปี 2008-2012 เราก็เคยได้เห็นผลกระทบของการเพิ่มสภาพคล่องด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่สามารถสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้ในปีดังกล่าวเช่นราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นจาก $32.48 ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าของ NYMEX ขึ้นมาเป็น $115 ต่อบาร์เรลได้ในปี 2011 ราคาทองคำก็สามารถจุดสูงสุดตลอดกาลเดิมได้ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

เมื่อนำสมมุติฐานนี้มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปี 2020 จึงเห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าต่อจากนี้ แม้โควิด-19 จะกดราคาน้ำมันดิบให้ตกต่ำแต่ปัญหาเศรษฐกิจจะพาน้ำมันให้ทะยานสูงขึ้น และเติมเชื้อไฟด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้

 

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย