สัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงของ Fed ในอัตรา 0.5 – 0.75% ในเดือน ก.ค.65 ยังปรากฎให้เห็น ส่วนมุมมองเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2565 ขยับขึ้นไปอยู่ ในโซน 3.5-3.75% ทิศทางดังกล่าวยังน่าจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโลก ส่วน ในบ้านเรา ธปท. ออกมาแสดงจุดยืนว่าจะไม่มีการเรียกประชุม วาระพิเศษ ทำให้ รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้มี 3 ครั้ง ทั้งหนี้หากปรับขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้งของการ ประชุมก็จะเห็นการปรับขึ้น 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% ซึ่งที่ระดับดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% และกำหนดให้ระดับ Market Earning Yield Gap คงไว้ที่ 4.4% จะให้ ระดับ PER เป้าหมายปี 2565 ที่ระดับ 17.66 เท่า คิดเป็น SET Index เป้าหมายที่ บริเวณ 1570 จุด ดั้งนั้นในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน หาก SET Index ปรับตัว ลดลงมาต่ำกว่า 1570 จุด สามารถทยอยซื้อหุ้นสะสมลงทุนระยะยาวได้
คาดว่า SET Index ยังผันผวนอยู่ในกรอบ 1545 – 1570 จุด พอร์ตจำลองวันนี้ แนะนำให้ลดเงินสดจาก 25% เหลือ 15% โดยนำเงิน 10% เข้าซื้อ CRC สำหรับ หุ้น Top Pick เลือก CENTEL, CRC และ MAJOR
ถ้ากนง.ขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง ... TARGET SET จะไม่ต่ำกว่า1570 จุด
วานนี้ Christopher Waller ผู้ว่าการ FED ได้กล่าวว่าเขาจะสนับสนุนการปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยอีก +0.75% จุดในการประชุมเดือนกรกฎาคมของ FED โดยเขากล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป และมันก็เป็นหน้าที่ของ FED ที่จะต้องจัดการ โดยนักลงทุนจับ ตาการประชุม FOMC ครั้งหน้าอย่างใกล้ชิด เพราะตอนนี้อ้างอิงจาก FED Watch Tool ของ CME ตลาดมองว่าครั้งหน้า FED จะขึ้นดอกเบี้ยอีก +0.75% (ความน่าจะ เป็น 86%) ขณะที่อัตราดอกเบี้ยปลายปีตลาดฯคาดขยับขึ้นมาที่ 3.75% แล้วใน ปัจจุบัน
ส่วนประเทศไทย แม้มติที่ประชุม กนง.ล่าสุดยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% แต่ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงในเดือน พ.ค.65 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 -3 เดือนข้างหน้าจากราคาสินค้าต่างๆที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นแรงกดดันให้ กนง. ปรับ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต แม้ ธปท.เผยว่าจะไม่มีการจัดประชุมวาระพิเศษก็ตาม โดย ฝ่ายวิจัยฯมองว่าการประชุมทั้ง 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้คาดขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25%(รวม 0.75%) เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว โดยหากมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งจะทำให้ Forward PE ปรับลดลงจาก 20.36 เท่า เหลือ 17.66 เท่า (ภายใต้ MEYG ที่ 4.41%) พอนำมาคูณ กับ EPS65F ที่ 88.9 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ปลายปีที่ 1570 จุด
สรุป การดำเนินนนโยบายการเงินที่ตึงตัวของ FED กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึง ไทยที่ปรับตัวลงกว่า 6.3%mtd มาอยู่ที่ 1559.39 จุด อย่างไรก็ตามดัชนีในปัจจุยัน อยู่ระดับต่ำกว่า Target SET ในกรณีขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งแล้ว จึงมองว่าดัชนี ในปัจจุบัน Downside เริ่มจำกัด และเป็นโอกาสทะยอยสะสม โดยมองกรอบการ เคลื่อนไหววันนี้ที่ระดับ 1545-1570 จุด
ราคาน้ำมันมีโอกาสชะลอต่อ แนะนำหุ้น ANTI-OIL
วันศุกร์ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ (WTI) ปรับตัลลดลงแรง 6.83% จนปัจุบันอยู่ที่ 108 เหรียญ/บาร์เรล
ฝ่ายวิจัยประเมินราคา Commodity ต่างๆ มีโอกาสถูกกดดันหรือย่อตัวลงต่อได้ หลัง Fed มีการเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็ว (ล่าสุดวันที่ 15 มิ.ย. Fed มีการขึ้น 0.75% มาอยู่ 1.75%) หนุนให้ Real Yield (ผลต่างระหว่าง Bond Yield US 10Y กับคาดการณ์เงินเฟ้อ 5Y) พลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง และในอดีตเวลา Real Yield เป็นบวกราคา Commodity ต่างๆ มักจะปรับตัวลดลงเสมอ สะท้อนได้จากการเปรียบเทียบ Real Yield กับ BCOM (ดัชนี Commodity ทั้งหมด 23ชนิดที่ Bloomberg นำมาสร้างรวมกันในดัชนีเดียวกัน อาทิ ทองคำ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ)
ประเด็นนี้ถือว่าเป็น Sentiment ที่ดีต่อหุ้น Anti-Oil หรือหุ้นที่ต้นทุนขึ้นกับราคา Commodity อย่าง SCC, GPSC, BGRIM, OSP, CBG, AAV, KEX เป็นต้น
หุ้นเปิดเมือง และหุ้นโรงฟ้า มี SENTIMENT ในประเทศผลักดันต่อ
วันศุกร์ที่ผ่านมา ทางสคบ. มีการผ่อนคลายมาตการควบคุมโควิดเพิ่มเติม เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค. 65 ดังนี้
- ปรับพื้นที่สีเขียวเป็น 77 จังหวัด (ทั่วประเทศ)
- ปลดล็อกไม่บังคับสวมแมส ในสถานที่ไม่แออัด โล่งแจ้ง ทั่วประเทศ ถือเป็น
บวกต่อหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง BEAUTY, KISS, KAMART
- บริโภคสุราในร้านอาหารได้ และขยายระยะเวลาปิดผับบาร์เปิดถึงตี 2
- ยกเลิก Thailand Pass
- ผ่อนปรนการถ่ายภาพยนตร์ ถ่ายรายการ
ประเด็นดังกล่าวคาดจะช่วยหุ้นให้หุ้นกลุ่มเปิดเมืองต่างๆ Outperform ตลาดต่อ แนะนำ CRC BEM MAJOR CENTEL
และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ กกพ.ส่งสัญญาณมีแนวโน้มการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ft) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 65 มีโอกาสสูงขึ้นกว่า 40 สตางค์/หน่วย เนื่องจากต้นทุนค่า พลังงานยังอยู่ในระดับสูง ถือเป็น sentiment เชิงบวกโดยรวมต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนการขายฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อย่าง GPSC (BUY:FV@82.5B) (สัดส่วนส่วนขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 35% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม) และ BGRIM (BUY:FV@35B) (สัดส่วนส่วนขาย ไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมราว 23% ของรายได้ขายไฟฟ้าโดยรวม)
อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่า ft ดังกล่าว ยังคงต้องรอการประเมินสถานการณ์ค่า เชื้อเพลิงที่แท้จริงอีกครั้งในเดือน มิ.ย.นี้ โดยในเบื้องต้นคาดการปรับขึ้นค่า ft งวด สุดท้ายจะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้า/หน่วย เพิ่มขึ้นไม่ถึง 5.0 บาท/หน่วย จากปัจจุบันอยู่ ที่ 4.0 บาท/หน่วย
ส่วนกลยุทธ์การปรับพอร์ตวันนี้แนะนำลดเงินสดลงจาก 25% เหลือ 15% แล้ว ลงทุนในหุ้นเปิดเมืองราคา Laggard อย่าง CRC เพิ่ม 10% รวมถึงยังชื่นชอบหุ้น เปิดเมืองอื่นๆ CENTEL MAJOR เป็น Top pick ในวันน
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities