ในช่วงที่เศรษฐกิจ “ถดถอย” คงมีแต่คนที่อยากจะขายหุ้นทิ้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วหลบออกไปพักดูสถานการณ์กันก่อนทั้งนั้น เพราะขืนอยู่ต่อก็คงจะทำให้ขาดทุนหนักขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
วันพุธที่ผ่านมาก็เป็นอีกวันหนึ่งที่หลายคนรู้สึกเช่นนั้น เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดการเทขายอย่างหนักหน่วงมากที่สุดในรอบปีจนทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงไปเกือบ 3% รวมถึง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ก็ลดลงไปถึง 800 จุด ซึ่งนับว่าย่ำแย่ที่สุดในรอบปีนี้เลยทีเดียว
แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีการฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อยในการซื้อขายช่วงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีปัจจัยชัดเจนที่ชี้ว่าน่าจะเกิดการปรับตัวลดลงได้อีก นั่นก็คือ การที่นักลงทุนเชื่อว่าการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ต่ำกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 2 ปี อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งคือสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนที่แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังจะเกิดการถดถอย
รูปแบบกราฟอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในแบบ “inversion” เช่นนี้มักเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ช่วงถดถอยในอีกไม่ช้านี้ นักลงทุนจึงมีความกลัวและความกังวลดังกล่าวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่สหรัฐฯ มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาต่อเนื่องยาวนานเกินกว่า 10 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่ไปทั่วโลก
แต่หากเศรษฐกิจถึงคราวจะต้องชะลอตัวลงจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอุตสาหกรรมในตลาดจะต้องได้รับผลในทางลบเสมอไป ข่าวดีสำหรับนักลงทุนที่นิยมสร้างและสะสมหุ้นในพอร์ตโฟลิโอก็คือเขาจะมีโอกาสได้ซื้อหุ้นเพิ่มเติมในช่วงเวลาดังกล่าวได้
เพื่อให้คุณสามารถเตรียมรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังจะชะลอตัวครั้งใหญ่ได้ดีขึ้น เราได้คัดเลือกหุ้นปันผลของสองบริษัทมาแนะนำเพื่อให้คุณได้ซื้อเก็บไว้เพิ่มเติมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตของคุณดังนี้
1. Duke Energy
หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคมักจะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างมีความเสถียรสูง สินค้าอย่างแก๊สหรือไฟฟ้าก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยังจำเป็นต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเพียงใดก็ตาม นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดนักลงทุนจึงหันมาหาหุ้นในกลุ่มนี้ในเวลาที่ตลาดเกิดความผันผวนสูง นอกจากนี้บริษัทในกลุ่มนี้ยังจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง รวมทั้งมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างมั่นคงด้วย
ราคาหุ้น DUK รายสัปดาห์ในช่วงปี 2017-2019
กราฟทั้งหมดสร้างโดย TradingView
ในบรรดาหุ้นกลุ่มสาธาณูปโภค เราขอแนะนำหุ้นของ Duke Energy (NYSE:DUK) เนื่องจากเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ซึ่งมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ค่อนข้างมั่นคง
บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มไปจนถึงปี 2022 อีก 37,000 ล้านเหรียญเพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ และด้วยการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจด้านพลังงาน แก๊ส และการจัดเก็บของบริษัท Duke วางแผนที่จะจ่ายเงินปันผลให้เติบโตได้ในอัตรา 4-6% ต่อปี
หุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นมาได้เกือบ 10% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และให้ผลตอบแทนที่ 4.24% ซึ่งเท่ากับเงินปันผล $0.945 ต่อหุ้น
อัตราผลตอบแทนดังกล่าวค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวเมื่อพิจารณาว่าเรากำลังจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงไปกว่าเดิมหากเป็นไปตามที่ตลาดพันธบัตรได้ส่งสัญญาณออกมาจากการที่พันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 30 ปี มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 2% เป็นครั้งแรกในวันที่ 14 สิงหาคม
2. Procter & Gamble
บริษัทในกลุ่มสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคก็เป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดที่สามารถเอาตัวรอดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ด้วยเหตุผลที่ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร กล่าวคือ ในขณะที่ผู้คนจำเป็นต้องตัดรายจ่ายสำหรับการท่องเที่ยวหรือซื้อสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือยลง แต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่าง สบู่ ยาสีฟัน และน้ำยาล้างจาน ฯลฯ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง
ราคาหุ้น PG รายสัปดาห์ในช่วงปี 2017-2019
หุ้นของ Procter & Gamble (NYSE:PG) บริษัทผู้ผลิตสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่มีสาขาทั่วโลกรายนี้เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่เราแนะนำสำหรับช่วงที่ตลาดมีความผันผวน รวมทั้งสำหรับนักลงทุนต้องการหาหุ้นที่เติบโตไม่หวือหวาแต่มั่นคงและมีการจ่ายเงินปันผลเป็นประจำ
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หุ้นของ PG ทะยานขึ้นมาได้ถึง 44% และทำให้ราคาหุ้นในขณะนี้ค่อนข้างสูงอยู่ที่ 23 ตัวเลขอัตราราคาต่อกำไร (PE ratio) ของหุ้น P&G เริ่มเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบห้าปีขึ้นไปทุกที แต่โมเมนตัมของการเติบโตของบริษัทแสดงให้เห็นว่าหุ้นของบริษัทรายนี้ยังน่าจะสามารถพุ่งขึ้นต่อไปได้อีกมาก
จาก รายงานผลประกอบการล่าสุด ของ P&G ที่ประกาศออกมาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม P&G สามารถทำยอดขายออร์แกนิคได้สูงสุดในรอบทศวรรษเลยทีเดียว คำว่ายอดขายออร์แกนิค คือ ยอดขายในส่วนที่ไม่นับรวมถึงบริษัทที่ซื้อเข้ามาหรือผลจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ยอดขายออร์แกนิคของบริษัทเติบโตขึ้นสูงเกินคาดที่ระดับ 7% และสูงกว่าการเติบโตในปีที่แล้วซึ่งมีเพียง 1% ไปได้อย่างขาดลอย และยังทำยอดขายออร์แกนิคได้เกินเป้าที่วางไว้ที่ 4% ไปถึงหนึ่งจุดเปอร์เซ็นต์เต็ม
หุ้นของ P&G ให้ผลตอบแทนที่อัตรา 2.58% ต่อปี และจ่ายเงินปันผลประจำไตรมาศ $0.745 ต่อหุ้นซึ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทสรุป
แม้ว่าช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างต้องการลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่ต้องอาศัยสภาพเศรษฐกิจในการเติบโต แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มีจุดประสงค์จะสร้างสะสมทุนไว้เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตแล้วล่ะก็ ทุกๆ ครั้งที่ตลาดเป็นขาลง นั่นคือโอกาสที่คุณจะได้เข้าซื้อหุ้นที่มีความแข็งแกร่งและมีเงินปันผลจ่ายสม่ำเสมอได้ในราคาที่ถูกลง หุ้นในกลุ่ม สาธารณูปโภค และ กลุ่มสินค้าจำเป็นสำหรับการอุปโภคบริโภค จึงเป็นสองกลุ่มในตลาดที่จะสามารถตอบโจทย์ในเรื่องนี้ให้กับคุณได้