บริษัท Boeing (NYSE:BA) ยังคงพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากวิกฤตการณ์อันเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท หลังเกิดเหตุเครื่องบินตกถึงสองครั้งด้วยเครื่องบินรุ่นที่ขายดีที่สุด แต่ในสัปดาห์หน้าบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติอเมริกันจะได้รับโอกาสอีกครั้งในการทำให้ผู้ลงทุนกลับมาวางใจในบริษัทให้ได้ ด้วยการประกาศ ผลประกอบการไตรมาสที่หนึ่ง ในวันพุธที่ 24 เมษายนนี้
ผู้ถือหุ้นต่างก็ต้องการทราบว่าอุบัติเหตุจากเครื่องบินรุ่น 737 MAX ส่งผลกระทบใดบ้างต่อผลประกอบการ และแผนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว หลังจากเหตุเครื่องบินตกอันร้ายแรงถึงสองครั้งภายในห้าเดือนได้บีบบังคับให้บริษัทลดกำลังการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 ลงถึง 19% และจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการออกแบบและการพัฒนาเครื่องบินดังกล่าว
ถือว่าครั้งนี้เป็นการวางเดิมพันครั้งใหญ่ของ Boeing และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เลยทีเดียว เครื่องบินรุ่น 737 ที่ออกบินครั้งแรกในปี 1960 เป็นเครื่องบินรุ่นที่ขายดีที่สุดในอุตสาหกรรมการบิน และเป็นรุ่นที่ทำรายได้ให้แก่ Boeing มากที่สุด โดยข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า รุ่น MAX ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงทางวิศวกรรมมาแล้ว เป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดถึงขั้นมีปริมาณคำสั่งซื้อที่รวมการสั่งซื้อที่ส่งมอบสินค้าเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 5,000 ลำ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
ยอดเงินมัดจำจากการสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น 737 MAX ได้ช่วยหนุนรายได้ของ Boeing ให้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ทำให้บริษัทมีมูลค่าตามราคาตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเครื่องบินของสายการบิน Ethiopian Airlines ตกเมื่อเดือนที่แล้ว นับว่าเป็นครั้งที่สองหลังจากอุบัติเหตุอันร้ายแรงอีกครั้งหนึ่งของสายการบินอินโดนิเซีย Lion Air ที่เกิดจากเครื่องบินรุ่น 737 MAX อีกเช่นกัน
อ้างอิงจากการคาดการณ์ของ Goldman Sachs คาดว่าเครื่องบินรุ่น 737 MAX เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้ก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีให้แก่บริษัทมากที่สุด และคาดว่าในอีกห้าปีข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะสร้างรายได้คิดเป็น 45% ของรายได้ทั้งหมดก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี
ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติในเร็ววัน
หนึ่งในคำถามที่คณะผู้บริหารบริษัท Boeing จะต้องตอบคำถามในที่ประชุมคือ บริษัทจะต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะสามารถหวนกลับคืนสู่การดำเนินการตามสภาพปกติได้ ทว่าคำตอบของคำถามดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับผลสรุปจากการตัดสินคดีต่าง ๆ อีกทั้งความสามารถของ Boeing ในการแก้ไขซอฟท์แวร์อย่างรวดเร็วที่สุด และทำให้ทั่วโลกยกเลิกการแบนเครื่องบินรุ่น 737 MAX อีกด้วย
ทางเรามีความเห็นว่าการพลิกฟื้นกลับมาดำเนินกิจการดังปกติดูจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากขณะนี้ทีมวิศวกรของ Boeing ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาอัปเดทของซอฟท์แวร์ให้เสร็จสิ้น เพื่อป้องกันการเกิดภาวะร่วงหล่นอันเกี่ยวข้องกับทั้งสองเหตุการณ์จาก Lion Air และ Ethiopian Airlines ทว่าปัจจัยที่ยังมีส่วนช่วยเหลือหุ้นของ Boeing และผู้ลงทุนในบริษัทเอาไว้ นั่นก็คืออุบัติเหตุทั้งสองครั้งไม่ได้มาจากสาเหตุเดียวกัน ซึ่งในขณะนี้ทีมวิศวกรก็ยังคงพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เราไม่คิดว่าหุ้น Boeing จะสามารถฟื้นคืนความเสียหายที่เกิดขึ้นในปี 2019 นี้ได้ เนื่องจากการจัดส่งเครื่องบิน 737 MAX ยังต้องหยุดชะงักต่อไป และผู้ลงทุนก็ยังไม่ทราบความคืบหน้าเพิ่มเติมของประเด็นดังกล่าวแม้จากการประกาศผลประกอบการในครั้งที่กำลังจะถึงนี้ ราคาหุ้นของ Boeing ได้ดิ่งลงไปแล้วเกือบ 10% นับตั้งแต่เหตุเครื่องบินตกของสายการบิน Ethiopian Airlines ในวันที่ 10 มีนาคม โดยเมื่อวานมีราคาปิดอยู่ที่ $381.72
ด้วยปริมาณสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นและการสั่งลดกำลังการผลิต บริษัท Boeing ในปีนี้จะต้องรับมือกับปัญหามากมายหลายประการ อันได้แก่ ค่าชดเชยความเสียหายที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกค้า การเจรจากับผู้ควบคุมดูแลและสายการบินต่าง ๆ อีกทั้งการจัดการกระแสเงินสดในบริษัทอีกด้วย ทั้งหมดนี้จะทำให้เกิดมาร์จินที่ลดลงและการเสียโอกาสในระยะสั้นอย่างแน่นอน
สรุป
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีภาพรวมที่น่าหดหู่ในระยะสั้น แต่เรามั่นใจมากว่าหุ้น Boeing จะต้องพลิกฟื้นจากวิกฤตการณ์นี้อย่างแน่นอน เนื่องจากสายการบินต่าง ๆ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเลือกหนึ่งในสองบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินที่ผูกขาดในตลาดระหว่าง Boeing หรือ Airbus (PA:AIR) ฉะนั้นสภาวะตลาดหมีที่เกิดขึ้นในตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้ลงทุนระยะยาวที่จะสามารถเข้าซื้อเพื่อถือสัญญาของหุ้น Boeing ที่จ่ายเงินปันผลได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด