แรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศที่ยังหนาแน่น โดยปัจจัยเร่งให้เกิดการ ขายส่วนหนึ่งอาจเป็นความกังวลเรื่องการเมืองในประเทศ ขณะที่แรงซื้อ จากสถาบันในประเทศแผ่วลงไปมาก องค์ประกอบดังกล่าวทำให้ SET INDEX เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาปรับลดลงแรง สำหรับปัจจัยพื้นฐานเช้านี้ ยังไม่เห็นปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนโดยส่วนใหญ่เป็นความต่อเนื่อง ของข่าวเดิมไม่ว่าจะเป็นเรื่องทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในประเทศที่คาดว่า จะคงอยู่ระดับ 2.25% ไปอีกระยะหนึ่ง หรือประเด็นการเมืองที่จุดสนใจอยู่ ที่คำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตามยังพอคาดหวังแรงหนุนจาก ผลประกอบการงวด 3Q67 ที่ทยอยประกาศออกมาได้ ส่วนบทบาทของ วายุภักษ์ ประเมินว่ายังน่าจะเป็นกลไกที่ช่วยพยุง SET INDEX ได้ เฉพาะ อย่างยิ่งที่บริเวณ 1460 จุดลงมา ประเมินว่า SET INDEX ยังอยู่ในช่วงการปรับฐานต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ เชื่อว่าที่บริเวณ 1460 จุด น่าจะมีแรงหนุนจากวายุภักษ์ วันนี้คาดกรอบ 1458 –1475 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้ เลือก BDMS, CBG และ CPAXT
เศรษฐกิจโลกเติบโต 3.2% YOY ส่วนดอกเบี้ยในบ้านเรา คงที่ 2.25%ไปอีกระยะหนึ่ง IMF เผย WORLD ECONOMIC OUTLOOK ฉบับล่าสุดประจำเดือน ต.ค. 67 ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้ จะขยายตัว +3.2%YOY และได้ปรับลดคาดการณ์แนวโน้ม GDP GROWTH ปีหน้า +3.2%YOY (เดิมคาด 3.3%) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลก ยังขยายตัวใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปี 2010-2023 ที่ระดับ 3.4%YOY โดยในปีนี้เศรษฐกิจโลกมีโอกาสหลีกเลี่ยงการเกิด RECESSION ไปได้ หลังเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ขยายตัวเกินคาด ท่ามกลางเงินเฟ้อทยอยลดลงสู่กรอบเป้าหมาย แต่ยังมี ความเสี่ยงที่ยังต้องติดตามอย่างใก้ชิด ทั้งเรื่อง "สงคราม" และ "นโยบายกีดกันทาง การค้า" บวกกับ “ปัญหาอสังหาฯ ในจีน” นอกจากนี้ IMFได้ปรับประมาณการ GDP GRWOTH ในปี 2024-25 อาทิ
• สหรัฐฯ : เพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโต +2.8% ปีนี้ (เดิมคาด 2.6%) และ +2.2% ปีหน้า (เดิมคาด 1.9%)
• จีน : ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโต +4.8% ปีนี้ (เดิมคาด 5%) และ +4.5% ปีหน้า
• ไทย : ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโต 2.8% ปีนี้ (เดิมคาด 2.9%) และ 3% ปีหน้า (เดิมคาด 3.1%)
กรณีปัจจัยแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในประเทศยังเป็นไปตามคาดการณ์ โดย ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ แม้ GDP GROWTH จะมีแนวโน้มขยายตัว น้อยลง แต่ไม่ได้ส่งผ่านแรงกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงแรงๆ บวกกับบ้านเราคาดว่า จะยังมีแรงผลักต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยว, การลงทุน (I), การใช้จ่ายภาครัฐ (G) เป็นต้น
ภาวะข้างต้นอาจทำให้การเดินหน้านโยบายการเงิน ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนในการ รีบปรับลดดอกเบี้ยในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้ว่าธปท. ที่ ย้ำว่าไม่ได้เร่งรีบลดดอกเบี้ยลงอีก โดยจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจ ในอีกแง่มุมหนึ่ง หาก GDP GROWTH โลก-ไทย ในระยะถัดไป มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า ศักยภาพ จนกระทบต่อเศรษฐกิจ/เงินเฟ้อ/เสถียรภาพระบบการเงินในบ้านเรา อย่าง มีนัยฯ อาจเห็นการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นได้
การเมืองไทย ยังคงกดดัน SET คาดกรอบวันนี้ 1458-1475 จุด เริ่มต้นวันที่ 24 ก.ย.67 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ได้ยื่น 6 คำร้องต่ออัยการสูงสุดให้ วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เลิกทำการที่เป็นการใช้สิทธิและ เสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 แต่อัยการสูงสุดมิได้ ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง หลังจากนั้น 10 ต.ค.67 นายธีรยุทธจึงได้ยื่นคำร้องเดิมต่อศาลรัฐธรรมนูญ อีกครั้ง ซึ่งล่าสุด 22 ต.ค.67 ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อ ประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย หรือไม่ ในชั้นนี้ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้อง ของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาล รัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าในช่วง กลางเดือน พ.ย.67 น่าจะทราบผลลัพธ์ว่าจะมีการรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่ และจะเป็น จุดกำหนดทิศทางของFLOW ต่างชาติต่อ SET INDEX ในอนาคต
สรุป การเมืองไทยยังมีความร้อนแรง หลังนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องขอศาล รัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยความผิดของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจกดดันให้ SET ผันผวน ให้ช่วงคำตัดสินได้ โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าในช่วงกลางเดือน พ.ย.67 น่าจะทราบผลลัพธ์ว่าจะมีการรับคำร้องดังกล่าวหรือไม่ ส่วนกรอบการเคลื่อนไหว ของ SET วันนี้อยู่ในช่วง 1458-1475 จุด
การเมืองไทย -โลก กดดัน FUND FLOW ชะลอช่วงนี้ การเปลี่ยนผ่านการเมืองโลกใกล้เข้ามา โดยเฉพาะนักลงทุนจับตาการเลือกตั้งปธน. สหรัฐ 5 พ.ย. 67 พร้อมกับคะแนนความนิยมของทรัมป์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นส่วนหนึ่ง ที่กดดันให้นักลงทุนลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงบ้าง หลังจาตลาดหุ้นสหรัฐ ขึ้นมาแรง เช่น DOW JONES ขึ้นมาแล้ว 6 สัปดาห์ติดต่อกัน +7.2% แต่สัปดาห์นี้เริ่ม เห็นการขายทำกำไร และย่อตัวลงมาทุกวันใน 3 วันทำการที่ผ่านมา -1.8% ถือเป็น SENTIMENT ลบต่อ SET INDEX ในช่วงนี้ได้
ขณะเดียวกันยังมีประเด็นนิติสงครามในการเมืองไทย กดดันให้ SET INDEX มีโอกาส ผันผวนมากขึ้น รวมถึง FUND FLOW ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย สะท้อนได้จากในช่วง 19 วันทำ การที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิ 18 ใน 19 วันทำการ โดยมีมูลค่าขายสุทธิรวม -2.5 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญคือ แรงหนุนจากเม็ดเงินสถาบันฯ รวมถึงกองทุนวายุภักษ์ ที่ ซื้อสะสมมาต่อเนื่อง แต่แรงซื้อค่อยๆ แผ่วลง และล่าสุดเห็นการสลับมาขายสุทธิในวันที่ 22 ต.ค. 67 ที่ -691 ล้านบาท
สรุป ช่วงการเปลี่ยนผ่านการเมืองสหรัฐ และความไม่แน่นอนในการเมืองไทย กดดันให้ FUND FLOW ของต่างชาติและสถาบันฯ ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง หุ้นนิคม WHA, AMATA, PIN, WHAUP และหุ้นรับเหมาเทคฯ INSET, AIT, ICN รับกระแส NVIDIA เข้ามาลงทุนใน ไทย รวมถึงพรรค REPUBLICAN มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสหรัฐมากขึ้น หนุนการ ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities