การเมือง จะกลับมาสร้างแรงกดดัน

คำร้องให้พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในกระบวนการของ ทั้ง ศาล รัฐธรรมนูญ และ ที่ กกต. เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวล เฉพาะ อย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงการฟื้นตัว ซึ่งจำเป็นต้องมี มาตรการจากภาครัฐเข้ามาประคับประคอง ขณะที่ในมุมของตลาดหุ้น ปัจจัยการเมืองดังกล่าวอาจมีส่วนทำให้การไหลกลับของ FUND FLOW ต่างชาติดูยากมากขึ้น อย่างไรก็ตามจากกระบวนการที่เดินอยู่น่าจะ เข้มข้นมากขึ้นในปี 2568 สำหรับประเด็นอื่นที่อยู่ในความสนใจได้แก่ เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการกระตุ้น เศรษฐกิจช่วงปลายเดือน ต.ค. หรือ ต้น พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะเห็นความ ชัดเจนของ DIGITAL WALLET เฟส2, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และ การกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปี 2567 ประเมินว่า SET INDEX น่าจะเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานอีกครั้ง โดยวันนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1474 –1496 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้ เลือก CBG, CRC และ BDMS

ราคานำมันใกล้หลุดแนวรับ เป็นขาลง ? ศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบโลกยังคงร่วงลงต่อเนื่องราว -2% โดย BRENT ปรับตัว ลดลงมาแตะ 73 เหรียญฯ/บาเรล ส่วน WTI ล่าสุดหลุด 70 เหรียญฯ/บาเรล แล้ว

ขณะที่ปัจจัยที่เป็นแรงกดดันราคาน้ำมันหลักๆ มาจากความกังวลในฝั่ง DEMAND หรือกำลัซื้อทั่วโลกเสี่ยงฟื้นตัวช้า สะท้อนจากทั้งภาคการผลิตในหลายๆ ประเทศซบ เซาต่อเนื่อง (PMI

อย่างไรตาม ราคาน้ำมันยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ หากใน 4Q67 รัฐบาลจีนเร่ง เครื่องยนต์กระตุ้นเต็มที่ จะพาเศรษฐกิจจีนขยายตัวตามเป้าหมายได้จริง (DEMAND) ขณะที่ล่าสุดเช้านี้ PBOC เซอร์ไพร์ส ปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด และภายในสิ้นปีนี้ อาจมีการปรับลด RRR ลงอีกราว 0.25-0.50% นอกจากกนี้ยังมี ประเด็นความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หากมีการตอบโต้ กลับระหว่างอิสราเอล – อิหร่าน (SUPPLY)

สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาด ว่าจะหนุนให้หุ้นอิงจีนได้รับประโยชน์ตามไปด้วย อาทิ

• กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม และ LOGISTIC : AOT (BK:AOT), SJWD, ERW, CENTEL, MINT, III

• กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์: HANA, KCE, DELTA

• กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย : AP, LH, SIRI ORI

• กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : SCC, SCGP

• กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี: PTT (BK:PTT), TOP, PTTGC, PTTEP, IVL

• กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม : CBG, CRC, BJC, CPALL (BK:CPALL) • กลุ่มยางพารา : NER, STA

การเมืองไทยเริ่ม กลับมากดดัน SET อีกครั้ง

หลังจากที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ได้ยื่น 6 คำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยสั่ง การให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เลิกทำการที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งกระบวนการต่อไป ต้องติดตามดูว่า ศาล รัฐธรรมนูญจะรับคำร้องหรือไม่ โดยหากเปรียบเทียบกับTIMELINE คดียุบพรรคก้าว ไกล ศาลใช้เวลาราว 26 วันในการพิจารณารับคำร้อง และใช้เวลารวมกว่า 6 เดือนใน การพิจารณาก่อนจะมีคำวินิจฉัยออกมา ขณะที่ในอีกทางหนึ่ง มีอีก 6 คำร้องที่ส่งไปที่ กกต. ให้พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย (มี หลายผู้ร้อง รวมถึงนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร) ซึ่งล่าสุด กกต. ได้พิจารณาเห็นว่าคำ ร้องมีมูล ได้ให้สั่งให้ตั้งกรรมการสอบยุบเพื่อไทยแล้ว (18 ต.ค.67) มีกรอบคระยะเวลา ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่สามารถขอขยายได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งต้องจับตาว่า กกต.จะมีผลการพิจารณาอย่างไร โดยหากเห็นว่า “ควรยุบพรรค” กกต.จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยในลำดับต่อไป

ขณะที่ในมุมตลาดหุ้นไทยก็เริ่มเห็นการถูกเทขายทำกำไรออกมาในวันศุกร์ที่ผ่านมา จากปัจจัยกดดันทางการเมือง และ แรง TAKE PROFIT ของหุ้นกลุ่ม TECH อาทิ ADVANC GULF INTUCH TRUE เป็นต้น ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าอาจเห็นความผัน ผวนของ SET อย่างต่อเนื่องในช่วงรอคำตัดสิน จึงมีโอกาสเห็น FLOW ต่างชาติไหล ออก แต่มีกองทุนวายุภักษ์ที่อาจเข้ามามาพยุงให้ SET ผันผวนน้อยลงได้บ้าง สรุป การเมืองไทยเริ่มระอุ หลังนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องขอศาลรัฐธรรมนูญ ให้ วินิจฉัยความผิดของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ซึ่งอาจกดดันให้ SET ผันผวน ให้ ช่วงคำตัดสินได้ โดยวันนี้คาดกรอบ SET อยู่ในช่วง 1474-1496 จุด

กองทุน OVER-OWNED หุ้น TECH (ไทย) , VALUATION SET เริ่มตึง SET INDEX มีโอกาสขยับขึ้นได้ยากขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1. VALUATION ของ SET INDEX เริ่มตึงๆ โดย SET INDEX ปรับตัวขึ้นมา แตะ 1500 จุด และถือเข้าใกล้มูลค่าพื้นฐานที่ประเมินไว้ 1510 จุด ทำให้การ เคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงต่อจากนี้อาจจะผันผวนมากขึ้นได้

2. กองทุนเริ่มถือหุ้น TECH เยอะมากกว่าปกติ (OVER-OWNED หุ้น TECH) และถือหุ้นน้ำมัน กับ ธ.พ. ลดลง โดยประเมินจากการถือครองหุ้น 5 อันดับ แรก ของ20 กองทุนหุ้นใหญ่สุด (NAV รวม 2.6 แสนล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของกองทุนรวมหุ้น (EX-VAYU) 944 กองทุน NAV 7.9 แสนล้านบาท (ณ ส.ค.67) พบว่า กองทุนมีการลดน้ำหนักหุ้นธ.พ. และหุ้นน้ำมัน แต่มาถือหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น สะท้อนได้จากหุ้นน้ำมัน อย่าง PTT, PTTEP ปกติจะถือ เยอะสุดติดอันดับ 1 ใน 5 เกือบทุกกอง แต่ปัจจุบันมีการถือหุ้น PTT ติด สัดส่วนสูงสุด 5 อันดับแรกแค่ 9 ใน 20 กองทุน, PTTEP 2 ใน 20 กองทุน รวมถึงหุ้นธ.พ. ปกติจะถือติด5 อันดับแรกเกินครึ่งหนึ่งของ 20 กองทุน โดย ,มีการถือ SCB 1 ใน 20 กองทุน, KBANK (BK:KBANK) 1 ใน 20 กองทุน ขณะที่หุ้นกลุ่ม TECH ได้รับความสนใจจากกองทุนเป็นอย่างมากในปีนี้ อาทิ มีการถือหุ้น ADVANC ติดสัดส่วนสูงสุด 5 อันดับแรกแค่ 16ใน 20 กองทุน, GULF 15ใน 20 กองทุน, DELTA 10 ใน 20 กอง เป็นต้น

3. มูลค่าทางพื้นฐานของหุ้น TECH เริ่มจำกัด จากการที่หุ้น TECH ขนาดใหญ่ ขึ้นมาแรงในปีนี้ อาทิ ADVANC 30%YTD, GULF 53%YTD, DELTA 48%YTD แต่ถ้าดูราคาเป้าหมาย จาก BLOOMBERG CONSENSUS ที่ นักวิเคราะห์มีการปรับในเดือน ต.ค. เริ่มเห็น UPSIDE จำกัด ตามราคา เป้าหมายเฉลี่ยดังนี้ ADVANC 289.6 บาท, DELTA 111.4 บาท, GULF 64.9 บาท

สรุป การผลักดันดัชนีที่ขึ้นมาใกล้ๆ กับมูลค่าพื้นฐานปีนี้ อีกทั้งน้ำหนักการลงทุนของ สถาบันฯ ยังเอนเอียงไปที่หุ้น TECH มากขึ้นจน UPSIDE เริ่มจำกัด อาจส่งผลให้ SET INDEX ในช่วงที่เหลือของปีมีความผันผวนมากขึ้นได้

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities