ตามแนวโน้มของ September Effect ตลาดกำลังเริ่มต้นเดือนนี้ด้วยการปรับตัวลดลง โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา S&P 500 (SPX) ลดลง 1.65% ขณะที่ Nasdaq คอมโพสิต (IXIC) ลดลง 3.38% โดย Nvidia (NASDAQ:NVDA) ถือเป็นตัวการหลักในการลดลงของตลาด เนื่องจากหุ้น NVDA สูญเสียมูลค่าไปถึง 17% ทำให้มูลค่าตลาดหายไปเกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์จากมูลค่า 3.147 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม
โดยรวมแล้ว การปรับตัวลดลงของตลาดในครั้งนี้ถือเป็นการซ้ำรอยกับช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งในตอนนั้นนักลงทุนจำนวนมากได้ใช้โอกาสในการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำลง ตัวอย่างเช่น NVDA ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ในการฟื้นตัวกลับไปสู่มูลค่าก่อนการปรับตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ประมาณ 122 ดอลลาร์
ในครั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดจะอยู่ในตารางการประชุม FOMC วันที่ 17-18 กันยายน ในการประชุมที่ Jackson Hole เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม เจอร์โรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้บอกใบ้แล้วว่า “ถึงเวลาแล้ว” ที่จะสิ้นสุดรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 5.25% - 5.5% ในรอบ 23 ปี
แม้ว่าสิ่งนี้อาจส่งสัญญาณให้เกิดการปรับตัวขึ้นของหุ้นเนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง แต่ก็อาจถูกบดบังด้วยสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอยและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอีก ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว หุ้นใดที่นักลงทุนควรจับตาดูเพื่อการลงทุนระยะยาวในการฟื้นตัว ?
1. Costco
กรณีขาขึ้นสำหรับโมเดลร้านค้าแบบสมาชิกของ Costco (NASDAQ:COST) แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ขณะที่ห้างค้าปลีกอื่น ๆ ประสบปัญหาการขโมยของภายในร้าน Costco ได้สร้างเกราะป้องกันความสูญเสียเหล่านี้ แม้ว่าโมเดลสมาชิกจะทำหน้าที่เป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว โดยมีการเพิ่มค่าสมาชิกล่าสุดอีก 5 ดอลลาร์เป็น 65 ดอลลาร์ต่อปี แต่การจัดวางสินค้าของคลังสินค้าของบริษัทก็ยังเป็นอุปสรรคเพิ่มเติม
นอกจากนี้ Costco ยังมีแรงเสริมด้วยการนำเสนอสินค้าจำนวนมาก ทำให้ยิ่งมีโอกาสน้อยลงที่โจรจะพยายามขโมยสินค้า และถึงจะขโมยไปได้ก็ยากที่จะหนีไปได้ จากโมเดลนี้ Costco สามารถรักษาราคาสินค้าให้ต่ำได้แม้จะมีสินค้าจำนวนจำกัดก็ตาม
ในไตรมาสที่ 2 ปี 2024 กำไรสุทธิของ Costco อยู่ที่ 2.83% เทียบกับ Walmart ที่ 2.34% แม้ว่า Costco จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าอยู่ที่ 12.50% เมื่อเทียบกับ Walmart ที่ 24.63% แต่การพึ่งพารายได้สมาชิกที่สม่ำเสมอของ Costco ก็เพียงพอที่จะชดเชยได้ เช่นเดียวกับ Netflix (NASDAQ:NFLX) นอกจากนี้ Costco ยังต้องเผชิญกับการปราบปรามการแชร์สมาชิกเป็นครั้งคราวตามที่ประกาศไปเมื่อเดือนสิงหาคม
ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ โมเดลนี้จะช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้าให้สูงขึ้นอีก ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขในไตรมาสที่ 2 ที่เปรียบเทียบกับการเติบโตยอดขายของ Target ที่ 2.74% กับยอดขายของ Costco ที่เพิ่มขึ้นถึง 9.07% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ปัจจุบัน COST มีราคาหุ้นอยู่ที่ 878.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 918.93 ดอลลาร์ โดยข้อมูลการคาดการณ์ของ Nasdaq วางเป้าหมายราคาเฉลี่ยของ COST ไว้ที่ 928.42 ดอลลาร์ต่อหุ้น นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นของ COST ยังสามารถพึ่งพาการซื้อหุ้นคืน ซึ่งได้รับผลตอบแทนมูลค่า 1.34 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และ 2022
2. Pedevco Corp.
จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้ลดลงถึงระดับต่ำสุดที่ 72.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในขณะเดียวกัน สินค้าคงคลังน้ำมันทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าปริมาณซัพพลายกำลังเพียงพอกับความต้องการ ในสถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการซื้อหุ้นน้ำมันเมื่อราคาลดต่ำลง
หนึ่งในหุ้นน้ำมันที่ราคาถูกที่สุดคือ Pedevco (NYSE:PED) ซึ่งดำเนินการในแหล่ง Permian Basin โดยมุ่งเน้นการซื้อและพัฒนาการผลิตน้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติ ตามรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2024 ในเดือนสิงหาคม โดยบริษัทไม่มีหนี้สินและมีกำไรสุทธิที่ 2.7 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 1.6 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
จนถึงปัจจุบัน หุ้น PED เพิ่มขึ้น 24% สู่ระดับหุ้นเพนนีที่ 0.97 ดอลลาร์ต่อหุ้น ข้อมูลการคาดการณ์ของ Nasdaq วางเป้าหมายราคาเฉลี่ยของหุ้น PED ไว้ที่ 1.95 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงถึงโอกาสในการเพิ่มขึ้นถึง 101% เมื่อพิจารณาว่าเศรษฐกิจจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในไม่ช้า นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในบริษัทน้ำมันที่ไม่มีหนี้สิน
3. Advanced Micro Devices (AMD)
AMD (NASDAQ:AMD) คู่แข่งที่ยาวนานของ Nvidia และ Intel (NASDAQ:INTC) ในวงการ GPU และ CPU กำลังอยู่ในช่วงลดราคาหายาก ปัจจุบัน หุ้น AMD ราคาอยู่ที่ 142 ดอลลาร์ต่อหุ้น ต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ที่ 150 ดอลลาร์ และต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 190.25 ดอลลาร์ต่อหุ้นอย่างมาก
AMD ได้ใช้โอกาสจากความผิดพลาดของ Intel กับ CPU รุ่นที่ 13 และ 14 โดยการลดราคาซีพียู Ryzen 9000 Zen 5 รุ่นล่าสุดลง 12% ภายในเดือนแรกของการเปิดตัวในเดือนสิงหาคม หลังจากปัญหาประสิทธิภาพเบื้องต้น การอัปเดตแพตช์สำหรับการปรับแต่ง Windows 11 ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงแก้ไขปัญหาเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมาก
ในด้านศูนย์ข้อมูล AI บริษัท AMD ได้ทำการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญโดยการเข้าซื้อ ZT Systems มูลค่า 4.9 พันล้านดอลลาร์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่ดูเหมือนจะเป็นการสรรหาบุคลากรเพื่อเร่งพัฒนาระบบ AI เต็มรูปแบบของ AMD ซึ่งเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้ Nvidia ไปสู่ความสำเร็จอย่างสูงในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน AMD ก็กำลังดำเนินการเปิดตัวชิป MI300X ที่เน้น AI โดยบริษัทได้ปรับปรุงประสิทธิภาพผ่านการอัปเดต ROCM 6.2 ซึ่งเทียบเท่ากับเฟรมเวิร์ก CUDA (Compute Unified Device Architecture) ของ Nvidia
ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 รายได้จากส่วนธุรกิจศูนย์ข้อมูลของ AMD เติบโตถึง 115% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีรายได้ที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 19% ในรายได้รวมที่ 1.12 พันล้านดอลลาร์ ในฐานะหุ้น AI ที่เติบโตสูงที่เคยถูกมองข้าม เมื่อเทียบกับ Nvidia นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนใน AMD ณ เวลานี้