นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เพอร์เฟ็คที่สุดที่จะเดิมพันกับหุ้น AI

ขณะที่ตลาดตอบสนองต่อสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดัชนีความผันผวนของ CBOE (VIX) ทะลุ 60 จุดในช่วงสั้น ๆ ในวันจันทร์ โดยพุ่งขึ้น 163% ในช่วง 5 วัน ดัชนี VIX หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “ดัชนีความกลัว” อ้างอิงจากออปชั่นซื้อและขาย 30 วันของ S&P 500}} ซึ่งสะท้อนถึงระดับความวิตกกังวลที่พบเห็นครั้งล่าสุดในเดือนมีนาคม 2020 เนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับการล็อกดาวน์

ในครั้งนี้ ความวิตกกังวลของตลาดเกิดขึ้นหลังจากที่รายงานการจ้างงานของ {{ecl-227||ปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ และ Berkshire Hathaway B (NYSE:BRKb) ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ Apple (NASDAQ:AAPL) ลง 37.8% ในรายงานไตรมาสที่ 2 ของ รายงานผลประกอบการ การปรับพอร์ตโฟลิโอของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือเป็นสัญญาณของตลาด และกลายเป็นกระแสไวรัล

ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นก็ร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน โดยปิดตลาดลดลงมากกว่า 12% การลดลง 4,451 จุดของ Nikkei นั้นมากกว่าช่วง "Black Monday" ในเดือนตุลาคม 1987 ซึ่งลดลง 3,836 จุดในขณะนั้น

ด้วยดัชนี S&P 500 (SPX) ที่ติดลบในสัปดาห์นี้ ดัชนีอ้างอิงของตลาดจึงกลับสู่ระดับต้นเดือนพฤษภาคม 2024 ในทางกลับกัน ตลาดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 118 จุดฐานภายในการประชุม FOMC ในเดือนธันวาคม ตามข้อมูลของ BofA Global Research

แต่ระหว่างการปรับฐานของตลาดครั้งใหญ่ครั้งนี้ ถึงเวลาหรือยังที่จะเพิ่มการลงทุนในหุ้น AI ก่อนที่การฟื้นตัวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จะเกิดขึ้น มาดู Nvidia (NASDAQ:NVDA) กันก่อนในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม AI

1. Nvidia

ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Nvidia ลดลง 21% ทำให้มูลค่าตลาดลดลง 651,000 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันชิป AI Blackwell B200 ของ Nvidia ที่หลายคนรอคอยนั้นมีมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์จากมูลค่า 3.15 ล้านล้านดอลลาร์ ดูเหมือนว่าจะล่าช้ากว่ากำหนด ตามข้อมูลจากแหล่งข่าววงในของ Microsoft (NASDAQ:MSFT) ซึ่งรายงานให้ The Information ทราบโดยพบว่ามีข้อบกพร่องในการออกแบบสถาปัตยกรรมของชิปดังกล่าว "เกิดขึ้นช้าผิดปกติในกระบวนการผลิต"

ในขณะที่ชิป H100 ช่วยให้ Nvidia มีมูลค่าตลาดเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากชิปเหล่านี้สามารถฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ได้ส่วนใหญ่ B200 จึงน่าจะช่วยผลักดันให้ชิปรุ่นที่สองมีประสิทธิภาพในการอนุมานที่เร็วกว่า 30 เท่าในขณะที่มีประสิทธิภาพในการฝึกมากกว่า H100 ถึง 4 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่มากขึ้น 2.4 เท่าสำหรับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ B200 จึงคาดว่าจะลดการใช้พลังงานลง 25 เท่าในขณะที่จัดการกับเวิร์กโหลด AI ที่เทียบเท่ากัน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า Google (NASDAQ:GOOG), Microsoft, Amazon (NASDAQ:AMZN), Meta (NASDAQ:META), Tesla (NASDAQ:TSLA) และ Apple พึ่งพาชิปเซ็ต AI ของ Nvidia การเลื่อนออกไปเป็นปี 2025 (จากเดือนตุลาคมที่คาดไว้) ส่งผลให้รายได้ล่าช้าอย่างมาก

ตามที่นักวิเคราะห์ของ UBS Group อย่าง Timothy Arcuri ระบุว่า Superchips B200 และ GB200 น่าจะคิดเป็น 7% ของการจัดส่งทั้งหมดของ Nvidia ณ เดือนมกราคม 2025 ที่ 32,500 และ 43,400 หน่วยตามลำดับ หากเกิดความล่าช้าขึ้น จะทำให้สูญเสียเงินไปประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์จากที่คาดไว้ว่าจะสูญเสียไป 34,500 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังคงมีอะไรให้ทำอยู่อีกมากสำหรับสถาปัตยกรรม Hopper โดยเฉพาะชิป H200 หนังสือพิมพ์ Commercial Times ของไต้หวันรายงานเป็นครั้งแรกว่าคาดว่าจะมีการจัดส่ง H200 ในปริมาณมากหลังจากไตรมาสที่ 3 เท่านั้น ในเวลาเดียวกัน Taiwan Semiconductor Manufacturing Company รายงานการจัดสรรกำลังการผลิตเต็มรูปแบบเมื่อเดือนมิถุนายน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เนื่องจากบริษัทที่ไม่มีโรงงานทั้งสองแห่งพึ่งพา TSMC (NYSE:TSM) คู่แข่งของ Nvidia อย่าง AMD (NASDAQ:AMD) จึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความล่าช้าของ Nvidia ได้ ซึ่งยังคงทำให้ Nvidia เป็นแหล่งเงินทุนหลักสำหรับการปรับฐานหลังตลาดเปิด

2. Intel

การเปรียบเทียบระหว่าง Intel, Nvidia และ AMD เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การปรับฐานของตลาดอาจทำให้ Intel (NASDAQ:INTC) น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้น ปัจจุบันราคา INTC ลดลง 57% ในปีนี้ โดยอยู่ที่ 20.24 ดอลลาร์ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ย 52 สัปดาห์ที่ 37.97 ดอลลาร์ต่อหุ้น ยังคงเป็นข้อเท็จจริงที่ Intel กำลังสร้างตัวเองให้เป็นโรงหล่อชิปรายใหญ่ โดยมีแผนที่จะอยู่ในอันดับที่สองรองจาก TSMC และแซงหน้า Samsung (KS:005930) ภายในปี 2030

นอกจากนี้ การวิจัยของ Databricks ในเดือนมกราคมยังพบว่าชิป AI Gaudi 2 ของ Intel มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ H100 ของ Nvidia โดยมีการใช้งานแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่สูงกว่า ทำให้ Gaudi 2 เป็นการลงทุนด้านประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเทียบกับ H100/A100

ในงานประชุม Intel Vision 2024 เมื่อเดือนเมษายน Intel เปิดเผยว่า Gaudi 3 สามารถเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำได้มากถึง 50% ซึ่งถือว่าเท่าเทียมกับ H200 ของ Nvidia

แม้จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าซีรีส์ Blackwell ของ Nvidia ที่ล่าช้า แต่คาดว่า Gaudi 3 จะเป็นทางเลือกที่ถูกกว่า โดยมีราคาประมาณครึ่งหนึ่งของ B200 ซึ่งมีข่าวลือว่าอยู่ในช่วงราคา 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐ

ที่มา: IEEE Spectrum

ในเวลานั้น Intel ได้คาดการณ์รายได้ที่ไหลเข้า 500 ล้านดอลลาร์จากการจัดส่ง Gaudi 3 สำหรับปี 2024 เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คาดว่าซีรีส์ MI300 ของ AMD จะสร้างรายได้ 3.5 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสการออกแบบของ Nvidia ที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย ทำให้ Intel มีพื้นที่ในการเร่งตำแหน่งทางการตลาดในปี 2025

ในระหว่างนี้ คดีความที่คาดเดาได้ซึ่งเกิดจากปัญหาความไม่เสถียรของ CPU รุ่นที่ 13 และ 14 ของ Intel กำลังส่งผลกระทบที่กดดันต่อราคาหุ้นของ INTC แต่เมื่อพิจารณาถึงการครองตลาดของ Intel ในตลาด GPU และ CPU แบบบูรณาการ จุดต่ำสุดในปัจจุบันควรได้รับการมองว่าเป็นโอกาส

3. Taiwan Semiconductor Manufacturing Company

TSMC อยู่ในสถานะที่ลำบาก ในแง่หนึ่ง บริษัทเป็นโรงหล่อเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลกที่มีกระบวนการชิปโหนดที่ล้ำสมัย ในอีกแง่หนึ่ง ที่ตั้งของบริษัทในไต้หวันซึ่งมีปัญหากับจีน ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการลงทุน

หลังจากรายงานการจ้างงานที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลในวันศุกร์ในสหรัฐอเมริกา ดัชนี Taiex ของไต้หวันลดลง 8.3% และ TSM ลดลง 8.8% อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังการผลิตโรงหล่อของ TSMC ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ คูน้ำกว้างของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอยู่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือจุดคอขวดของการผลิตชิปของโลก

TSMC ยังคงคาดว่ารายได้ในไตรมาสที่ 3 ที่ 23,200 ล้านดอลลาร์จะเกินความคาดหมาย โดยรายได้ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 20,820 ล้านดอลลาร์ การแสดงให้เห็นว่าการลดลงของ TSM ถือเป็นจุดสิ้นสุดก็เหมือนกับการแสดงให้เห็นว่าภาคส่วนเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะสูญเสียแรงขับเคลื่อนในการแข่งขันสำหรับ AI

แต่เมื่อพิจารณาว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่มองว่าปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์แบบดาร์วินสำหรับขั้นต่อไปของยุคดิจิทัล สถานการณ์ดังกล่าวจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความร่วมมือทางทหารของจีนกับไต้หวันนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากจีนมีศักยภาพในการทำให้เศรษฐกิจของจีนไม่มั่นคง

เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้แล้ว การที่ราคาหุ้น TSM ลดลงจาก 182.49 ดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้วเหลือ 147.90 ดอลลาร์ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อหุ้นในช่วงขาลง

***

บทความนี้ถูกตีพิมพ์ และเผยแพร่บน The Tokenist. ผู้ที่สนใจสามารถอ่านจดหมายข่าวได้ที่ Five Minute Finance,สำหรับการวิเคราะห์ภาคการเงินและเทคโนโลยีรายสัปดาห์