ผลการประชุม Fedเมื่อคืนนี้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.5% ตามคาด แต่ให้ มุมมองว่าการประชุมรอบเดือน มี.ค.67 อาจไม่ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับลด อัตราดอกเบี้ย ผลดังกล่าวสะท้อนผ่าน Fed Watch Tool โดย 64% คาดคง ดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือน มี.ค.67 ประเด็นดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในบ้านเรา ธปท. ออกมาให้มุมมองเศรษฐกิจเชิงลบ โดยคาดว่า จะเห็นการปรับลด GDP Growth ทั้งในปี 2566 และ 2567 หลังจากที่ Indicator หลายตัวส่งสัญญาณเติบโตช้ากว่าที่คาด ภาพดังกล่าวน่าจะสอดคล้องกับ ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่มองเห็นพื้นที่ในการปรับลด ประมาณการลงทั้งปี 2566 และ 2567 อีกเรื่องที่สำคัญคือคำวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนูญที่เห็นว่า แนวทางการแก้ไข ป.อาญา ม. 112 ของ พรรคก้าวไกลเป็น ปฎิปักษ์ต่อการปกครองฯ ซึ่งเปิดช่องทางไปสู่การยุบพรรค และตัดสิทธ การเมือง
ภาพรวมของปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐาน ทั้ง 3 เรื่องที่กล่าวถึง ถือว่ามีผลทางลบ ต่อทิศทางตลาด และทำให้SET Index ไม่สามารถพ้นจากช่วงของการปรับฐาน วันนี้ประเมินกรอบ 1353 –1370 จุด หุ้น Top Pickเลือก AOT (BK:AOT), BEMและTISCO
FED คงดอกเบี้ยตามคาด แต่ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนานขึ้น กดดันสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น
แม้ว่า FED จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด 5.25%-5.50% อย่างไรก็ตามวานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง 0.8%-2.4% ตามที่ FED ส่งสัญญาณว่ายังไม่มีแผนที่จะ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ววัน เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% โดยทางประธานเฟดได้กล่าวว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อ มีข้อมูลยืนยันว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว แต่เมื่อพิจารณาจาก การประชุมในครั้งนี้ ไม่คิดว่าคณะกรรมการ FOMC จะมีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้ได้ ภายในการประชุมนโยบายการเงินเดือนมี.ค.67
ประเด็นดังกล่าว ทำให้ FED WATCH TOOL มีการปรับโอกาสคงดอกเบี้ยมากขึ้นใน การประชุมเดือน มี.ค.67 เป็น 64% ซึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้FED WATCH TOOL ให้ โอกาสที่จะคงดอกเบี้ยไว้เพียง 53% เท่านั้น อย่างไรก็ตามการประชุมครั้งถัดๆไป FED WATCH TOOL คาดว่าจะทยอยปรับลดดอกเบี้ย 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25% จน ณ สิ้นปี 2567 คาดดอกเบี้ยจะอยู่ระดับ 4.0%
สรุป การส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนานขึ้นของ FED ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง แรงวานนี้ ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยวันนี้คาดกรอบการ เคลื่อนไหวของ SET index ไว้ที่ระดับ 1353 -1370 จุด
ภาพเศรษฐกิจไทยสร้าง Downside ต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน
ตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจไทยที่ทยอยออกมากในช่วง 4Q66 เริ่มแสดงให้เห็น ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวลง เฉพาะอย่างยิ่งในเดือน ธ.ค. 66 สะท้อนผ่านหลาย Indicators เริ่มจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) - 6.27%YoY ขณะที่ในปี 2566 ดัชนี MPI -5.11%เศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวช้า และ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นอกจากนี้ ธปท.ยังเผยว่าเศรษฐกิจไทยในเดือน ธ.ค.66 ขยายตัวชะลอลงตามรายรับ ภาคการท่องเที่ยวและมูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำที่ชะลอลงจากอุปสงค์โลกที่ฟื้น ตัวช้า อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังโตต่ำและฟนตัวชากวาประเทศเพื่อนบาน ทั้งมิติ GDP และการสงออกสินคา ซึ่งเปนผลจากทั้งปจจัยเชิงวัฏจักรระยะสั้นและเชิงโครงสราง
ภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินของไทยในเดือน ธ.ค.66 และ 4Q66 ที่ดูไม่ค่อยสดใส อาจเป็นปัจจัยที่หนุนให้ ธปท. ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ไทย ปี 2566-67 และ มีโอกาสจะเห็น Gap คาดการณ์ GDP ของ ธปท. และรัฐบาลที่แคบลง ซึ่งต้องติดตาม ทิศทาง กนง. ในการประชุมนัดแรกของปีวันที่7 ก.พ. นี้
เศรษฐกิจไทยที่เริ่มเห็น DOWNSIDE ดังเนื้อหาข้างต้น ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนก็ มีโอกาสเห็นการทยอยปรับลดคาดการณ์ลง หรือเป็น DOWNSIDE ก่อนการ รายงานรายบริษัท ซึ่งหากอ้างอิงจากประมาณการเดิม กำไรงวด 4Q66 ต้องแตะ ระดับ 2.92 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28% ถึงจะทำให้คาดการณ์ทั้งปีอยู่ระดับ 1.06 ล้านล้านบาทได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากพอควร โดยปัจจุบัน BLOOMBERG คาด กำไร 4Q66 ราว 2.63 แสนล้านบาท
ซึ่งการปรับประมารการลงไม่เพียงแต่ปรับลดของปี 2566 แต่รวมถึงปี 2567 ด้วย โดย ล่าสุด EPS67F จาก BLOOMBERG CONSENSUS เหลือ 98.7 บาท/หุ้น ส่วน มุมมองของฝ่ายวิจัยฯ เบื้องต้นเห็น DOWNSIDE จาก EPS67F ราวๆ 3 – 4% หรือ EPS67F จะลดลงมาอยู่ที่ 96 – 97 บาท/หุ้น ภายใต้ MEYG ที่ระดับ 3.3% อิง P/E 17.24 เท่า จะได้กรอบดัชนีเป้าหมายบริเวณ 1650 –1670 จุด
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินของไทยในเดือน ธ.ค.66 และ 4Q66 ที่ดูไม่ค่อย สดใส อาจเป็นปัจจัยที่หนุนให้ ธปท. ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ไทย ปี 2566- 67 และอาจนำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS Growth และะกรอบดัชนีเป้าหมาย SET Index
การเมืองกดดัน SET Index ขยับขึ้นยาก
ีกหนึ่งประเด็นภายในประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ พัฒนาทางการเมือง หลังวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพ เพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและสั่ง การให้เลิกการกระทำ การพิมพ์ การโฆษณา เพื่อให้ยกเลิก ม. 112 อีกทั้งไม่ให้มีการ แก้ไข ม. 112 ด้วย
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการถัดๆ ไป ได้แก่ กกต. อาจพิจารณายื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นได้ (ตาม พ.ร.ป พรรคการเมืองมาตรา 92) ขณะเดียวกันทางฝั่ง ปปช. ก็สามารถพิจารณาว่าผิดต่อ หลักจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่(ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรค 2, มาตรา 235) ซึ่ง หากศาลวินิจฉัยแล้วว่าผิดจริง โทษสูงสุด คือ การตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดเช้านี้ (1 ก.พ.) เวลา 10.00 น. สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จะมีการยื่นเรื่องให้กกต. ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการยุบพรรคก้าวไกล ฐาน ล้มล้างการปกครอง ตามความผิดในมาตรา 91 (1) โดยจะมีโทษถึงขั้นยุบพรรคและ ตัดสิทธิ์ทางด้านการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปีทั้งนี้ หากประเด็นดังกล่าวถูก หยิบยกขึ้นมา อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อ SET ให้ฟื้นตัวได้ช้า พร้อมกับ Fund Flow ชะลอการไหลเข้า
สรุป นอกจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอ ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เข้ามาเป็น ปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงนี้ได้
ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันรอบด้าน จะวางแผนลงทุนอย่างไรดี?
ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันรอบทิศทาง ดังนี้
• การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายทางการเงินโลกที่ผ่อนคลาย อาจช้าลง หลัง Fed ส่งสัญญาณยังไม่ลดดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ รอเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% (เงินเฟ้อสหรัฐล่าสุดเดือน ธ.ค. 3.4%) กดดันตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลง ทุกแห่งในวานนี้ -0.8% ถึง -2.2%
• เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวช้ากว่าที่ตลาดคาด โดย PMI จีน เดือน ม.ค.67 ออกมา 49.2 จุด ต่ำกว่าตลาดคาด 49.3 จุด แม้จะสูงกว่าเดือนก่อน 49 จุด แต่กดดันหุ้นจีนตก -1.4% ในวานนี้ อาจเป็นแรงกดดันมาที่ตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย
• การเมืองไทยที่กลับมาร้อนแรง หลังศาล รธน. ชี้ ก้าวไกล “ล้มล้างการ ปกครอง” และวันนี้ เรืองไกร สส.พปชร เข้าร้องกกต. ยุบพรรคก้าวไกลเวลา 10.00 น. ในวันนี้
ภาพปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่กดดันตลาดหุ้นรอบทิศทาง กลยุทธ์การ ลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วน 10 – 20% ของพอร์ต ส่วนหุ้นเด่นเอนเอียงน้ำหนักไป กับหุ้น 3 ธีม มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว น่าจะ Outperform ตลาดได้ในช่วงนี้
• หุ้นปันผลสูง (หลบความผันผวนต่อตลาดได้ดี) แนะ AP, INTUCH, MAJOR,
PTTEP
• หุ้นคาดหวังดอกเบี้ยขยับลง (และ Bond Yield 10 ปี สหรัฐลงมาเร็ว ล่าสุดต่ำ
4%) แนะ TIDLOR, SAWAD, TISCO
• หุ้นอิงการท่องเที่ยว (ฟรีวีซ่าไทย-จีน ถาวร เริ่มมี.ค. 66 นี้) แนะ AOT MINT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities