Fed blackout should help market / KTB
SET: คาด SET Index แกว่งตัว Sideways สัปดาห์นี้ในกรอบ โดยเชื่อว่า หลังเข้าสู่ช่วงเวลา Blackout period ของกรรมการ Fed ทั้งหลาย จะทําให้ กระบวนการปรับมุมมองของตลาดผ่าน Fed Funds futures จะเริ่มนิ่งขึ้น หลังมีการปรับมุมมองเข้าหา Fed ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะทําให้ตัวแปรสําคัญต่างๆปรับตัวนิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Bond yield หรือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น ล่าสุดเงินบาทเริ่มทรงตัวได้ ซึ่งอาจทําให้ ทิศทาง Fund flow สัปดาห์นี้ชะลอแรงขายลงได้เช่นกัน สําหรับวันนี้ คาดว่ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (DELTA, KCE, HANA) จะเป็นผู้นําในดัชนีต่อไป หลังดัชนีหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนวันศุกร์ปรับตัวท่า New high อีกครั้ง น่าโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นสําคัญ
Strategy: ในเชิงกลยุทธ์ มองว่านักลงทุนสามารถถือครองหุ้นทั้งในส่วน เดิมได้แก่ หุ้น Magnificent 7 ของเรา (ADVANC, AP, BCH, INTUCH, PTT (BK:PTT), SIRI, TISCO) ซึ่งล่าสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย YTD อยู่ที่ -1.1% เทียบกับ SETTRI ที่ -2.4% รวมถึงหุ้นในส่วนใหม่ที่เราแนะนําในให้เพิ่ม น้ําหนักในสัปดาห์ก่อนอย่างกลุ่มค้าปลีก (CPALL (BK:CPALL), CPAXT, BJC, COM7, CRC, HMPRO)
Factors: สําหรับปัจจัยสําคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่
1) การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 22-23 ม.ค. ซึ่งคงจะไม่มีการ เปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายการเงินแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อัตราดอกเบี้ยหรือว่ามาตรการ Yield Curve Control (YCC) เองก็ตาม
2) การประชุมธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งคงจะไม่มีการ เปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายการเงินเช่นกัน
3) การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสําคัญของสหรัฐฯอย่าง GDP ไตรมาส 4/23 ในวันที่ 25 ม.ค. และ PCE deflator ในวันที่ 26 ม.ค.
4) รายงานตัวเลขส่งออก-นําเข้าของไทยประจําเดือนธ.ค. ล่าสุดตลาด คาดการณ์ขยายตัวที่ 6.4% และ 6.9% ตามลําดับ รวมถึงดุลการค้าที่ อาจขาดดุล 1.5 พันล้านเหรียญฯ รับผล
KTB: ในเชิงกลยุทธ์ หากราคาหุ้นมีการอ่อนตัวลงในช่วงสั้น ประกอบการไตรมาส 4Q66 ที่ออกมาย่ําแย่กว่าเราคาดถึง 30% อาจเป็นจังหวะที่ดีสําหรับการเข้า “ซื้อเก็งกําไร" คงราคาเป้าหมาย เชิงพื้นฐานที่ 26 บาท อิง PBV 0.5x ทั้งนี้ กําไร 4066 ที่ออกมาตาคาด อย่างสําคัญนั้นมาจากค่าใช้จ่ายสํารองหนี้ที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบ ใหญ่รายหนึ่งและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันที่มีแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อที่ เสื่อมค่าลง อย่างไรก็ดีมองเป็นกรณี “เจ็บแล้วจบ" ซึ่งน่าจะทําให้กําไรปี 2567 ของธนาคารกลับมาเติบโตได้สูงที่ราว 22% (คาด 44,694 ล้านบาท) หลังคาดว่าค่าใช่จ่ายสารองหนี้จะปรับตัวลงได้ราว 20% 5 พันล้านบาท (60%QoQ) ทั้งนี้เนื่องจากมีการตั้งสํารองสําหรับลูกค้าราย
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities