แม้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นบ้านเราวานนี้จะค่อนข้างซบเซา แต่เราก็ยัง เชื่อว่า MOMENTUM ในการเวี่ยงตัวขึ้นของ SET INDEX ยังไม่จบ เนื่องจาก ปัจจัยแวดล้อมยังเอื้อต่อการที่จะมีเม็ดเงินที่เพิ่มเข้ามามากขึ้นจากทั้ง สถาบันใน ประเทศตามแรงซื้อ THAILAND ESG FUND และ นักลงทุนต่างชาติที่ UNDERWEIGHT ตลาดหุ้นไทยมากเกินควร + เงินบาทที่อยู่ในทิศทางแข็งค่า ส่วนประเด็นที่อยู่ในความสนใจวันนี้เป็นการประชุม ครม. ซึ่งคาดหวังว่าจะเห็น ผลสรุปสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ค่าแรงขั้นต่ำ, อัตราค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวทางในการ จัดการกับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ด้านประเด็นความเสี่ยงมาจาก สถานการณ์สืบเนื่องของสงครามอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งได้ขยายความตึงเครียด มาสู่บริเวณทะเลแดง กระทบการเดินเรือขนส่งสินค้าในบริเวณดังกล่าว รวมถึง ราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามเรายังเห็นว่ามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และ อุตสาหกรรม LOGISTIC ไม่มาก
เชื่อว่า MOMENTUM ในการเหวี่ยงขึ้นของ SET INDEX ยังไม่จบ จนถึงสิ้นปีมี โอกาสที่จะทะลุ 1400 จุดขึ้นไปได้ ส่วนวันนี้ประเมินกรอบ 1385 – 1400 จุด หุ้น TOP PICK เลือก INTUCH, TISCO และ SIRI
ความไม่สงบในทะเลแดง หนุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวช่วงสั้น ดีต่อ หุ้นน้ำมัน หุ้นขนส่ง
วานนี้ราคาน้ำมันดิบ BRENT และ WTI ปรับตัวขึ้น 1.7% -2.1% หลัง SUPPLY ของ ตลาดน้ำมันดิบโลกอาจหายไป จากการที่กลุ่มกลุ่มฮูตียกระดับการโจมตีเรือขนส่ง สินค้าพาณิชย์ที่แล่นผ่านทะเลแดง (การค้าโลกต้องพึ่งพาเส้นทางขนส่งเชิงพาณิชย์ ผ่านทะเลแดงอยู่ประมาณ 12%) โดยมุ่งเป้าโจมตีเรือพาณิชย์ที่มีความเชื่อมโยงกับ อิสราเอล ความไม่สงบดังกล่าว จึงทำให้บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่ของโลก หลายราย เช่น บีพี(BP) ของอังกฤษ เมอส์ก (MAERSK) ของเดนมาร์ก, ฮาแพคลอยด์ (HAPAG-LLOYD) ของเยอรมนี, เมดิเตอร์เรเนียน ชิปปิ้ง (MSC) ของอิตาลี- สวิตเซอร์แลนด์ และซีเอ็มเอ ซีจีเอ็ม (CMA CGM) ของฝรั่งเศส ประกาศระงับการ เดินเรือผ่านช่องแคบทะเลแดงทันที นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจาก รัสเซียประกาศว่าจะลดการส่งออกน้ำมัน 50,000 บาร์เรล/วันหรือมากกว่านั้นใน เดือน ธ.ค.66ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว
อีกทั้งหากพิจารณาในมุมของมูลค่าการค้า (TOTAL TRADE) จะเห็นได้ว่าสัดส่วน การค้าระหว่างยุโรปกับไทยมีไม่มากนัก โดยในปี 2565 ไทยมีมูลค่าการค้ากับยุโรป 40,024 ล้านเหรียญ (เฉลี่ย 163 ล้านเหรียญฯ/วัน หรือ คิดเป็นสัดส่วนราว 0.0167% เท่านั้น)
SENTIMENT เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น และผลกระทบต่อการค้าไทย ที่จำกัด คาดเป็นปัจจัยหนุนต่อ SET INDEX ที่มีสัดส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานราว 33% ของน้ำหนักทั้งหมด ให้ปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวในกรอบ 1385-1400 จุด ส่วนหุ้นที่ได้ SENTIMENT เชิงบวก คือ กลุ่มขนส่งที่ได้ประโยชน์จาก SUPPLY ฝั่งยุโรปหายไป คือ PSL RCL TTA JUTHA III เป็นต้น
เศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มโตเด่น
การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวเด่น เฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ บวกกับภาคการ ท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็นแรงส่งสำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทั้ง ในปีนี้และปีหน้า โดย BLOOMBERG คาด GDP GROWTH บ้านเราตลอดทั้งปี 2567 +3.5%YOY โดยโตเด่นกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ US +1.2%, ยุโรป +0.6%, ญี่ปุ่น +0.8% เป็นต้น ขณะที่การเติบโตของภาพรวมเศรษฐไทยรายไตรมาสในหน้า ประเมินว่าจะโตราว 2.9 – 3.8%YOY ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่ม DEVELOPED ECONOMIC ที่ขยายตัวราว 0.1 –2.0%YOY
นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย ที่ทยอยออกมานับตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. ยังเป็นปัจจัยหนุนสัญต่อการขยายตัวของภาพรวมเศรษฐกิจบ้ายเรา ขณะที่ระยะ ถัดไปยังมีอีกหลายมาตรการที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ พักหนี้ เกษตรกร 3 ปี, แก้ปัญหาหนี้ในและนอกระบบ, E-REFUND, DIGITAL WALLET 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ลดราคาสินค้ากว่า 20 รายการ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายในบางข้ออาจจะยังมีความเสี่ยงว่าไม่สามารถดำเนินการตาม แผนได้ในปีหนี้ หรือเงื่อนไขอาจเปลี่ยนไป เนื่องด้วยข้อจำกัดบางประการ อาทิ โครงการ DIGITAL WALLET, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นต้น แต่เชื่อว่าจะเป็นแรงกดต่อภาพรวม ไม่มากนัก โดย ธปท. ประเมินว่าโครงการ DITIAL WALLET จะช่วยให้ GDP ไทย ปรับตัวสูงขึ้นราว 0.6% (GDP ไทยปี 67 หากไม่มี DW +3.2%, มี DW +3.8%)
สรุป GDP GROWTH บ้านเราตลอดทั้งปี 2567 รวมถึงรายไตรมาส มีแนวโน้มโตเด่น กว่าหลายประเทศในกลุ่ม DEVELOPED ECONOMIC นอกจากนี้บ้านเรายังได้รับแรง หนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย ที่ทยอยออกมานับตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ทำให้ภาพใหญ่ในระยะถัดไปดูดีขึ้นต่อเนื่อง
มูลค่าซื้อขายแห้ง แนะเก็งกำไรธีม INDEX PLAY อย่าง INTUCH, M
มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเบาบางลงเรื่อยๆ จนเดือนนี้เหลือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเพียง 3.7 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น TURNOVER ต่อปี 54%) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปีนี้ที่ 5.2 หมื่น ล้านบาท
ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับลดเกณฑ์คัดกรองหุ้นเข้าออกดัชนีSET50, SET100 รอบ 1H67 ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการลดเกณฑ์ สภาพคล่องให้น้อยกว่าปกติ เพื่อช่วยให้หุ้นใหญ่ที่เป็นฐานโครงสร้างตลาดหุ้นอยู่ใน ดัชนีต่อ หนุนให้ดัชนีมีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับสภาวะตลาดหุ้นณ ปัจจุบัน ได้ผลลัพธ์หุ้นเข้าออก SET50 1 คู่ และหุ้นเข้าออก SET100 10 คู่
กลยุทธ์การลงทุนธีมนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มี POSITIVE SUPRISE จากธีมนี้ คือ
• หุ้นขนาดใหญ่ไม่หลุด SET50 -> DELTA, INTUCH, TLI
• หุ้นสภาพคล่องต่ำแต่พลิกกลับขึ้นมาติด SET100 -> AEONTS, M, TOA
โดยหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ INTUCH เนื่องจากราคา INTUCH (-10.68%YTD) LAGGARD หุ้นลูก อย่าง ADVANC (+11.79%YTD) ถึง 22.47%YTD
M ราคาปัจจุบัน 39 บาท ย่อตัวลงมา -33.6%YTD จนราคาต่ำความราคา IPO ที่ 49 บาท แต่ไตรมาส 4 มักจะเป็น HIGHT SEASON ของปี น่าจะเป็นแรงหนุนอีกแรง
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities