SET INDEX วานนี้ปรับขึ้นมา 2.1% พร้อมการซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ 3.6 พันล้านบาท ซึ่งบางส่วนอาจถูกตีความว่าเป็นการซื้อ COVER สถานะ SHORT ก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามหากมองในเชิงของ VALUATION ก็ยังต้อง ย้ำให้เห็นภาพว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะ UNDER VALUE ซึ่งพร้อมดีดตัวขึ้น ได้อีกหากไม่มีปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่เป็นลบตัวใหม่ๆ เข้ามาสร้างแรงกดดัน ฝ่ายวิจัยได้ศึกษาสถานะทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน เทียบกับ ช่วงเวลาที่เกิดการระบาดของ COVID-19 พบว่า ในมุมของเศรษฐกิจปัจจุบัน ขนาดของ GDP กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนที่ COVID-19 ระบาดแล้ว ขณะที่ EPS ของบริษัทจดทะเบียนในปี 2562 อยู่ที่ 88.1 บาทต่อหุ้น ในปี 2566 คาดว่าอยู่ที่ 88.6 บาท และ เพิ่มเป็น 99.8 บาท/หุ้นในปี 2567 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าก่อน COVID-19 ระบาด แต่ในส่วนของ SET INDEX พบว่าปัจจุบันยังต่ำกว่าสิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 1579 จุด
ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานของ SET INDEX พบว่าระดับความเสี่ยง ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะทำให้ความผันผวนลดต่ำลง วันนี้คาดอยู่ในกรอบ ประเมิน กรอบ 1405-1429 จุด TOP PICK วันนี้เลือก PTTGC, SCGP และ TU
ปัจจัยภายนอกสดใส หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มเติม
วานนี้สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐ ผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว (CONTINUING RESOLUTION) ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 336 เสียง ต่อ 95 เสียง สะท้อนการได้รับ ความเห็นชอบจากทั้งจากพรรค DEMOCRAT และ REPUBLICAN ทั้งนี้ร่างดังกล่าว เตรียมถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภาและ ปธ.โจ ไบเดน ในลำดับต่อไป ซึ่งถ้าหากไม่มีอะไรผิด คาด น่าจะมีแนวโน้มเห็นชอบอยู่แล้ว ดังนั้นหากผ่านความเห็นชอบได้ก่อน 17 พ.ย.66 จะส่งผลให้รัฐบาลมีงบประมาณเบิกจ่ายได้ต่อถึงช่วงต้นปี 2567 (19 ม.ค.67 และ 2 ก.พ.67) ขณะที่ประเด็นถัดไป คือ การพบปะกันของผู้นำสหรัฐฯ และจีน ซึ่งมีแนวโน้ม ในทางที่ดีขึ้น หลังทั้ง 2 ประเทศ ต่อสู้ทางนโยบายมาก่อนหน้านี้ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
• จีนและสหรัฐฯ ตกลงที่จะกลับมาสื่อสารระหว่างทหารต่อทหารอีกครั้ง ซึ่งก่อน หน้านี้จีนตัดขาดการสื่อสารหลังจากที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร (แนนซี เปโล ซี) เยือนไต้หวันในเดือน ส.ค.65
• จีนและสหรัฐฯ ร่วมมือกันในเรื่องนโยบายต่อต้านยาเสพติดภายในประเทศ ตนเอง
• จีนและสหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะหารือเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ของ 2 ประเทศในอนาคต
• เรื่องแผ่นดินของไต้หวัน ทางจีนพยายามสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐฯ ว่าเป็น ดินแดนของตน แต่ไม่มีแผนปฏิบัติการทางทหารต่อไต้หวันในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า ขณะที่สหรัฐฯ ขอให้จีนเคารพกระบวนการเลือกตั้งของไต้หวัน
สรุป การเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลมากขึ้น และ อาจเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงได้ในระยะถัดไป โดยเฉพาะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน
และหากพิจารณาการเคลื่อนไหวของ SET INDEX และ CSI 300 INDEX ในอดีต จะ เห็นได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เนื่องด้วยไทยมีการพึ่งพิงเศรษฐกิจจีนมาก ที่สุดกว่า 20% หากตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้น มีแนวโน้มที่จะทำให้ SET INDEX ปรับตัว ขึ้นตามด้วย
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์หากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว คือ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม, กลุ่มชิ้นส่วนฯ, กลุ่มอสังหาฯ, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ, กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม, กลุ่มยางพารา
สรุป ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หนุนให้ตลาดหุ้นมี โอกาสสดใสอีกครั้ง ซึ่งหากตลาดหุ้นจีน OUTPERFORM คาดเห็น SET INDEX OUTPERFORM ตามไป เนื่องด้วยเศรษฐกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ขณะที่หุ้นที่คาด ได้ประโยชน์และฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบ คือ AOT (BK:AOT), ERW, MINT, HANA, KCE, SCGP, PTTGC, CRC, NER
นายกฯ ดึง BIG TECH ระดับโลกลงทุนในไทย คาดช่วยหนุนเงิน บาทแข็งค่า
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาต่อเนื่องจนปัจจุบันสามารถขึ้นมายืนเหนือ ช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดได้แล้ว โดยดัชนี GDP ใน 2Q66 ของไทยอยู่ที่ 100.5 จุด ขณะที่ระยะถัดไปเศรษฐกิจบ้านเรายังมีแนวโน้มขยายตัวได้มากขึ้น หลังรัฐบาลชุดใหม่ เดินหน้าดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนให้ GDP GROWTH โต 5%YOY
ขณะที่ภาคการลงทุนเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ซึ่ง มีแนวโน้มที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสกลับมาลงทุนทางตรง เพิ่มขึ้น จากทิศทางใน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีเงินลงทุน 415,323 ล้านบาท (913 โครงการ) สูงขึ้นร้อยละ 44.8 จากปีก่อน รวมถึงรัฐบาลเตรียมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก 4 ปี (พ.ศ. 2567 –2570)
อีกทั้งล่าสุดนายกฯ ได้เดินทางไปประชุมที APEC และประกาศความร่วมมือทง ยุทธศาสตร์ กับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอที“GOOGLE” และ “MICROSOFT” ในการ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่สำคัญ ทั้ง CLOUD, AI, DATA CENTER โดยดึงเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาท ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะช่วยให้การทุน ทางตรงและการลงทุนทางอ้อมมีทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แนะนำ 5 หุ้นเด่นรับกระแส ดังกล่าว WHA, AMATA, INSET, AIT, ITEL
สรุป ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้นักลงทุน ต่างชาติมีโอกาสกลับมาลงทุนทางตรงเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดนายกดึงสองบิ๊กเทคฯ เข้า มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่สำคัญในไทย ทั้ง CLOUD, AI, DATA CENTER เชื่อว่าจะช่วยให้การทุนทางตรงและการลงทุนทางอ้อมมีทิศทางที่ดีขึ้น เรื่อยๆ และคาดว่าช่วยหนุนเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
VALUATION และกำไรตลาดโตดี พร้อม FLOW เริ่มไหลเข้า
วานนี้ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29 จุด มาอยู่ที่ 1415 จุด พร้อมกับ FUND FLOW ต่างชาติที่ไหลเข้าเด่นทั้งในตลาดหุ้น 3.5 พันล้านบาท (เป็นยอดซื้อสุทธิภายใน 1 วันที่ สูงสุดในรอบ 6 เดือน) และยังไหลเข้าตลาดฟิวเจอร์ส 49,278 สัญญา (เป็นยอดซื้อ สุทธิภายใน 1 วัน สูงสุดเป็นอันดับ 3 ในรอบ 5 ปี)
ในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 3Q66 ประกาศมาเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ 2.72 แสนล้าน บาท (+24%QOQ / +15%YOY) ดีกว่าที่ตลาดคาด 4%
และในเชิงเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่ามูลค่า GDP ไทยปัจจุบัน สูงกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 แล้ว เช่นเดียวกับ EPS66F ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน 88.6 บาท/หุ้น สูงกว่าปี 2562 ที่ 88.1 บาท/หุ้น และยังโตต่อเนื่องอีกในปีหน้า 12.6% โดยมี EPS67F ที่ 99.8 จุด แต่ SET INDEX ปัจจุบัน 1415 จุด ต่ำกว่าสิ้นปี 2562 ที่ 1579 จุด อยู่เลย แสดง ว่า SET INDEX ยังมีช่องว่างในเชิงพื้นฐานให้ขยับขึ้นอยู่
ในมุม VALUATION ของ SET INDEX ยังน่าสนใจโดยมีP/E 67F 14.2 เท่า, PBV 1.3 เท่า (ต่ำ 2SD)
ส่วนวันนี้ประเมิน SET INDEX มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ก่อนที่ 1405 – 1419 จุด หลังจะขึ้นมาแรง แต่ยังมีแนวโน้มขยับขึ้นไปสู่ 1450 จุด ในระยะถัดไป ส่วน TOPPICK วันนี้เลือก PTTGC, SCGP, TU
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities