- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหนัก หลังผลการประชุมเฟดล่าสุดและรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ย และเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤษภาคมหน้า
- ควรจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะ เฟด พร้อมติดตามรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และสถานการณ์สงคราม
- เรามองว่า หากตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ก็อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์แกว่งตัว sideway หรือ อ่อนค่าลง ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนจากสถานการณ์สงครามที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ในส่วนของค่าเงินบาท โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้าง โดยผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หรือ ทำกำไรสถานะ Long THB นอกจากนี้ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังมีทิศทางไม่ชัดเจน โดยการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรได้บ้าง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติอาจยังเข้าซื้อบอนด์ไทยได้ หากอัตราเงินเฟ้อของไทยชะลอลงมากขึ้น หรือ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทรงตัว/ย่อตัวลง
- มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
35.25-36.00 บาท/ดอลลาร์ - ฝั่งสหรัฐฯ – รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานและดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงผลการประชุมเฟดล่าสุด ที่สะท้อนว่า เฟดอาจถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว จะทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยจากข้อมูล CME FedWatch Tool ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคมและอาจลดดอกเบี้ยลงราว -100bps (-1%) ในปีหน้า และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ควรจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
- ฝั่งยุโรป – เรามองว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ตามผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนผ่าน อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ที่จะขยายตัวเพียง +0.5%y/y นอกจากนี้ ภาพเศรษฐกิจยูโรโซนก็มีทิศทางชะลอลงเช่นเดียวกันกับฝั่งอังกฤษ โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกันยายน อาจหดตัวต่อเนื่องราว -0.2% ซึ่งจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอังกฤษและยูโรโซนดังกล่าว ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่างคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมล่าสุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และ ECB เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของทั้งสองธนาคารกลาง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาทิศทางตลาดหุ้นยุโรปอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงนี้จะมีการรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนพอสมควร อีกทั้งในช่วงนี้ ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ ก็เคลื่อนไหวผันผวนตาม ทิศทางตลาดหุ้นยุโรป
- ฝั่งเอเชีย – เราประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจออสเตรเลียที่ชะลอตัวลง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง อาจทำให้ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.10% (ตลาดมองขึ้นดอกเบี้ย สู่ระดับ 4.35%) ส่วนในฝั่งจีน การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ทว่า ยอดการส่งออกและนำเข้าในเดือนตุลาคม อาจยังคง “หดตัว” เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ราว -2.9% และ -4.5% ตามลำดับ นอกจากนี้ การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจจีน จะทำให้ อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนตุลาคม ชะลอลงสู่ระดับ -0.2% ซึ่งจากภาพดังกล่าวอาจเพิ่มโอกาสที่ ทางการจีนพิจารณาใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังได้
- ฝั่งไทย – เรามีมุมมองที่ต่างจากบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนตุลาคม โดยเรามองว่า ผลของฐานราคาที่สูงในปีก่อนหน้า รวมถึงการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาพลังงานและราคาเนื้อสัตว์ จะส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป หดตัว -0.7%m/m หรือ -0.7%y/y (ตลาดมอง +0.1%y/y) ทั้งนี้ เรามองว่า การชะลอลงของอัตราเงินเฟ้ออาจไม่ได้ส่งผลให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่อาจทำให้วัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยได้สิ้นสุดลงแล้วที่ระดับ 2.50%
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก