ตลาดผ่อนคลายขึ้น

ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว จากปัจจัยภายนอกที่สหรัฐมีเปิดขายพันธบัตร รัฐบาลสหรัฐ 1.12 แสนล้านเหรียญ (ต่ำกว่าตลาดคาด 1.14 แสนล้านเหรียญ) และยังมีการคงดอกเบี้ยที่ 5.5% (คงรอบที่ 2) บวกกับข้อมูลจาก FED WATCH TOOL คาดว่า FED มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือไม่ถึง 20% หนุนให้ BOND YILED 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวลงแรงถึง -21 BPS. มาอยู่ที่ 4.71% หนุนตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรง +0.67% ถึง +1.64% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ปกติช่วงที่ BOND YIELD 10 ปีสหรัฐลดลง ก็ปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะ กลุ่มหุ้นที่ขึ้นได้เด่นกว่าตลาด อาทิ กลุ่มการเงิน TIDLOR MTC, ปันผลสูง TISCO LH SIRI, ชิ้นส่วนฯ HANA KCE, โรงไฟฟ้า GULF BGRIM GPSC นอกจากนี้ SET มี PBV ต่ำแล้วเพียง 1.35 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2SD) และมีหุ้นใน SET100 ต่ำ BOOK หรือ PBV

ประเมิน SET INDEX มีโอกาสผันผวนลดลง และฟื้นตัวได้มากขึ้น ส่วนกรอบการ เคลื่อนไหววันนี้ที่1375–1390จุด และหุ้น TOP PICK คือ TISCO, BH และ WHA

ตลาดหุ้นมีแนวโน้มดีขึ้น

หลังเข้าโหมดทรงดอกเบี้ย ผลการประชุมนโยบายการเงินรอบเดือน พ.ย. FED มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 (ระดับสูงสุดรอบ 22 ปี) ขณะที่ท่าทีของ FED ยังไม่ปิด โอกาสขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบต่อไป หลัง GDP GROWTH สหรัฐฯ ใน 3Q66 +4.9%QOQ ซึ่งขยายตัวสูงก่าคาดมาก รวมถึงภาคแรงงานยังแข็งแกร่ง ทั้งนี้ FED ยังคงมุ่งเป้าให้เงินเฟ้อลงมาสู่กรอบ 2% อย่างยั่งยืน พร้อมกับย้ำว่ายังไม่ได้มีการ ตัดสินใจกับการดำเนินนโยบายในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ และคณะกรรมการจะทำในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมในขณะนั้นเสมอ

ขณะที่ FED WATCH TOOL เผยผลสำรวจพบว่ามีโอกาสสูงถึง 80% ที่ FED จะยังคง ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% ในการประชุมรอบเดือน ธ.ค. และมีแนวโน้มที่จะตรึงดอกเบี้ยไปจย ถึงกลางปี 2567 โดยจากข้อมูลในอดีตของช่วงที่ FED ตรึงดอกเบี้ย มักจะช่วยหนุนให้ ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับดอลลาร์ที่อ่อนค่า หรือ ชะลอการแข็งค่าลง ปัจจัย ดังกล่าวเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักให้ค่าเงินบาทแข็งค่า และเป็นทิศทางที่ดีต่อ FUND FLOW ในการไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น

ในอีกมุมหนึ่งกระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศแผนการประมูลพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐฯ 1.12 แสนล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า (7-9 พ.ย.) ซึ่งเป็นวงเงินที่น้อยกว่า ตลาดได้คาดไว้ที่ 1.14 แสนล้านดอลลาร์ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันให้ BOND YIELD สหรัฐฯ ทั้งระยะยาวและระยะสั้นปรับตัวลงแรง โดย BOND YIELD 10 ปี ย่อตัว ลงเกือบ 4% สู่ระดับ 4.73% ส่วน BOND YIELD 2 ปี ลดลงราว 2.8% สู่ระดับ 4.94% ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ระดับความกังวลดูผ่อนคลายลง ช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้า สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนบวกราว 0.5% -1.6%

สรุป FED คงดอกเบี้นเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ตลาดมอง FED คงดอกเบี้ย 5.5% ไปถึงกลางปี 67 ในอีกมุมหนึ่งกระทรวงการคลังสหรัฐได้ประกาศแผนการ ประมูลพันธบัตรรัฐบาลในวงเงินที่ต่ำกว่าตลาดคาด ภาวะดังกล่าวกดดันให้ BOND YIELD สหรัฐฯ ปรับตัวลงแรง ขณะเดียวกันระดับความกังวลที่ดูผ่อนคลายลง ช่วย หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

ปัจจัยทั้งนอกและในประเทศดีเหลือเกิน หนุนเม็ดเงินเข้าสินทรัพย์ เสี่ยงรวมถึง SET INDEX

ตั้งแต่ ต.ค.66-ปัจจุบัน SET INDEX ปรับตัวลงแรงกว่า 91 จุด หรือ 6.7% ปิดที่ระดับ 1379.96 จุด จนมี VALUATION ที่เริ่มน่าสนใจทั้งในมุมของ PER, PBV และ EPS GROWTH ขณะที่ภาพใหญ่ยังมีปัจจัยหนุนทั้งในส่วนนอกประเทศ และในประเทศ โดยมี รายละเอียด ดังนี้

• ปัจจัยหนุนส่วนนอกประเทศ BOND YIELD สหรัฐ ปรับตัวลงแรงทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงอายุ 10 ปีที่ปรับตัวลง 21 BPS. อยู่ที่ 4.73% ซึ่งสถิติในอดีต ช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า BOND YIELD สหรัฐ 10 ปีแปรผกผันกับผลตอบแทน SET INDEX และ FLOW ต่างชาติเสมอ โดยช่วงที่ 1 (9 –11 ต.ค.66) BOND YIELD สหรัฐ 10 ปี ปรับตัวลง 25 BPS. SET +1.2%, FUND FLOW NET BUY +4.6 พันล้านบาท และ ช่วงที่ 2 (12 –19 ต.ค.66) BOND YIELD สหรัฐ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 40 BPS. SET -2.3%, FUND FLOW NET SELL -4.6 พันล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาช่วงที่ 1 กลุ่มหุ้นที่ขึ้นได้เด่น อาทิกลุ่มชิ้นส่วนฯ HANA KCE, ปันผลสูง LH SIRI TISCO, การเงิน SAWAD MTC TIDLOR, โรงไฟฟ้า EGCO GULF เป็นต้น

• ปัจจัยหนุนส่วนในประเทศ วานนี้ GUNKUL ประกาศซื้อหุ้นคืน เพื่อเรียกความ เชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยจะซื้อคืน 380 ล้านหุ้น มูลค่าไม่เกิน 1.12 พันล้านบาท (ราคาหุ้นสูงสุดไม่เกิน 2.79 บาท) ทำให้ราคาหุ้น GUNKUL วานนี้ +7.9% ปิด ที่ระดับ 2.46 บาท ซึ่งหากพิจารณาบริษัทอื่นๆ ที่มีการทยอยซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ ช่วงต้น ต.ค.66 คือ MAJOR WP III SMD NV TACC GENCO เป็นต้น คาด ประเด็นดังกล่าว น่าจะเป็นการบ่งชี้ว่ามีหนุนหลายๆ ตัวเริ่มลงลึกกว่าตลาดที่ ควรจะเป็น ขณะที่ SET INDEX ล่าสุด มี PBV ต่ำแล้วเพียง 1.35 เท่า (ต่ำกว่า ระดับ -2SD) และมีหุ้นใน SET100 ต่ำ BOOK หรือ PBV

สรุป ปัจจัยบวกทั้งนอกและในประเทศ หนุนต่อ FLOW ต่างชาติให้ทยอยไหลเข้า สินทรัพย์เสี่ยงรวมถึง SET INDEX คาดเป็นตัวพยุง SET INDEX ไม่ให้ผันผวนมากนัก เฉกเช่นเดือนที่ผ่านมา โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1375-1390 จุด

TISCO หุ้นเด่นมีเสน่ห์ที่ปันผล และ ROE

การคงดอกเบี้ยของ FED รอบ พ.ย. 66 และ BOND YIELD สหรัฐฯ อายุ 1 – 10 ปี ปรับตัวลงเฉลี่ยราว 16 BPS จากวันก่อนหน้า ประเมินสร้างความน่าสนใจให้กับหุ้นปัน ผลสูงอย่าง TISCO มากขึ้น โดยคาดเงินปันผลต่อหุ้นงวด 2H66 ที่ 6 บาทต่อหุ้น เทียบเท่า DIV YIELD ราว 6% ต่อปี สูงเป็นอันดับต้นๆ ของ SET100 ด้านกำไรสุทธิ 9M66 ที่ 5.5 พันล้านบาท (+1.9% YOY) คิดเป็นสัดส่วน 74% ของประมาณการทั้งปี มองว่ายังมีความเป็นไปได้

มาตรการสนับสนุน EV 3.5 ของภาครัฐ คาดเป็นปัจจัยเสริมค่าธรรมเนียมกลุ่ม BANCASSURANCE ในส่วนของการขายประกันภัยรถยนต์ เนื่องจากเบี้ยประกันภัย ของรถยนต์ไฟฟ้า ยังสูงกว่ารถยนต์สันดาป

แนวโน้ม ROE ที่ยืนในระดับ 16% -17% สูงสุดในกลุ่มฯ และมากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ ไม่เกิน 10% ประกอบกับฐานเงินกองทุน (BIS RATIO) ที่ 22.6% มากสุดในกลุ่มฯ พร้อมคาดการณ์ DIV YIELD ทั้งปีสูงสุดในกลุ่มฯ ยังเป็นเสน่ห์ของ TISCO

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities